ศาลยกฟ้อง "สว.อุปกิต" ทุกข้อหา ชี้ ไม่มีเอี่ยว ฟอกเงิน-ยาเสพติด

ศาลอาญามีคำพิพากษายกฟ้อง นายอุปกิต ปาจารียางกูร อดีตสมาชิกวุฒิสภา ในทุกข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินและการมีส่วนร่วมในขบวนการยาเสพติดข้ามชาติ โดยระบุว่าไม่มีพยานหลักฐานใดที่ชี้ชัดว่าเขามีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดของนักธุรกิจชาวเมียนมา “มิน ลัต” ซึ่งถูกจับในคดียาเสพติดและฟอกเงินเมื่อปี 2565

คดีนี้มีต้นเรื่องจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ หลังจากการจับกุมนายทุนมิน ลัต เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 โดยพบว่ามีการโอนเงินผ่านบัญชีจำนวนมากกว่า 22 บัญชี และมีพยานเชื่อมโยงถึงอดีต ส.ว. อุปกิต อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งให้ดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งหมด 6 ข้อหา เช่น สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมในองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ

ตลอดกระบวนการ นายอุปกิตได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว โดยวางหลักทรัพย์ประกันจำนวน 10 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศหากไม่ได้รับอนุญาตจากศาล และเดินทางเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาในวันนี้ ตั้งแต่เวลา 08.30 น.

คำพิพากษาและเหตุผลของศาล

ในการพิจารณาคดี ศาลอาญาได้วิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งหมดที่ฝ่ายโจทก์นำเสนอ รวมถึงข้อมูลการโอนเงินและบทสนทนาผ่านแชทระหว่างนายอุปกิตกับนายมิน ลัต ที่เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ

แม้จะพบว่ามีการสื่อสารกันจริง แต่ศาลเห็นว่าบทสนทนาดังกล่าวเป็นการพูดคุยเรื่องการชำระค่าไฟฟ้ามูลค่า 30 ล้านบาทที่ท่าขี้เหล็ก ซึ่งดำเนินการโดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแม่สาย เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่ชายแดนถูกปิดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ต้องใช้ช่องทางพิเศษในการโอนเงินผ่านบัญชีส่วนตัวของนายทุนมิน ลัต

ศาลยังระบุว่า การโอนเงินในเครือข่ายยาเสพติดของมิน ลัต มีลักษณะต่างจากกรณีของอุปกิต โดยเงินถูกโอนเพียงครั้งละ 5 แสนถึง 1 ล้านบาท ในลักษณะหลบเลี่ยงตรวจสอบ ซึ่งแตกต่างจากกรณีโอนชำระค่าไฟที่มีการระบุผู้รับอย่างชัดเจนและจำนวนเงินสูงมาก โดยไม่มีพยานหลักฐานชี้ว่ามีเจตนาร่วมหรือรู้เห็นกับการกระทำผิด

จึงมีคำพิพากษา “ยกฟ้อง” ในทุกข้อกล่าวหา พร้อมระบุว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอในการเอาผิดนายอุปกิตในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดหรือผู้เกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินและยาเสพติดข้ามชาติแต่อย่างใด

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษา นายอุปกิต ปาจารียางกูร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยกล่าวว่า

ตนรู้สึกได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมายในที่สุด หลังจากที่ถูกกล่าวหาและต้องเผชิญความทุกข์ทางใจมาตลอดระยะเวลา 3 ปี

เขาระบุว่า ทีมทนายความสามารถโต้แย้งข้อกล่าวหาได้ครบถ้วน พร้อมประกาศเตรียมดำเนินคดีทางกฎหมาย ฟ้องกลับนายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล ที่เคยอภิปรายพาดพิงตนในสภา พร้อมกล่าวว่า การอภิปรายครั้งนั้นใช้ข้อมูลเท็จและทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างหนัก

“วันนี้ผมขอคืนฉายา ‘ส.ว.ทรงเอ’ ให้กับคุณรังสิมันต์ และพรรคของเขา ผมเชื่อว่าความจริงและความยุติธรรมได้ปรากฏแล้ว” นายอุปกิตกล่าว

เขายังวิจารณ์การเมืองยุคใหม่ว่าไม่ควรใช้วาทกรรมกล่าวหาอย่างไม่มีหลักฐาน และควรมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยย้ำว่าเมื่อคดีถึงที่สุด ตนจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างแน่นอน เพื่อกู้คืนชื่อเสียงที่สูญเสียไป

สำหรับความสัมพันธ์กับนายมิน ลัต นายอุปกิตระบุว่า เคยรู้จักกันมานานกว่า 10 ปี เนื่องจากบิดาของมิน ลัต เคยเป็นอธิบดีกรมท่องเที่ยวเมียนมา และเคยให้คำปรึกษาเรื่องการลงทุนในไทย แต่หลังจากเกิดคดีความก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก พร้อมแสดงความเชื่อว่านายมิน ลัต ก็อาจเป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน

เขาทิ้งท้ายว่า ตอนนี้เหลือเพียงรอดูว่าฝ่ายอัยการจะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาหรือไม่ แต่สำหรับตนถือว่าความจริงได้ปรากฏชัดแล้วในศาลชั้นต้น