SHORT CUT
สส. รัชนก สุขประเสริฐ อภิปรายร่างงบฯ 2569 จี้รัฐบาลปรับทัศนคติ ดูแลคนพิการด้วยหัวใจ ชี้งบประมาณไม่เพียงพอ ระบบยุ่งยาก ตอกย้ำคนพิการต้อง 'ดิ้นรนซ้ำซ้อน'
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 วาระที่ 1 นางสาวรัชนก สุขประเสริฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ เขต 2 พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นอภิปรายถึงงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ โดยเน้นย้ำว่าแม้จะมีการจัดสรรกระจายไปในหลายกระทรวง แต่งบประมาณดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนพิการมีชีวิตที่เป็นอิสระ มีศักดิ์ศรี และมีโอกาสเท่าเทียมกับผู้อื่นในสังคมได้
สส. รัชนก เผยข้อมูลสถานการณ์คนพิการในประเทศไทยว่า ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 2.2 ล้านคน โดยมี กว่า 3.5 แสนคน ที่อยู่ในครัวเรือนยากจน กว่า 1.3 ล้านคน จบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษา และมี คนพิการที่มีงานทำอยู่เพียง 2 แสนคนเท่านั้น จากคนพิการวัยแรงงาน 8 แสนคน ซึ่งลดลงจาก 3 แสนคนในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ คนพิการจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน และตกหล่นการขึ้นทะเบียนเป็นคนพิการ
เธอกล่าววิพากษ์การจัดงบประมาณด้านคนพิการของรัฐบาลว่า ถูกใช้ไปกับ กิจกรรมรายปีซ้ำๆ ที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตคนพิการดีขึ้น เช่น การอบรมทำยาดม ยาหม่อง ขณะที่งบประมาณสวัสดิการคนพิการที่ควรเพิ่ม กลับไม่มีอะไรดีขึ้น
ประเด็นหลักที่ ส.ส. รัชนก หยิบยกมาอภิปรายประกอบด้วย:
เบี้ยยังชีพคนพิการ งบประมาณปี 2569 ตั้งไว้ที่ 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่เคยปรับเพิ่มขึ้นเลย ปัจจุบัน คนพิการส่วนใหญ่ได้รับเบี้ยยังชีพเพียงเดือนละ 800 บาท ผู้ที่ได้รับ 1,000 บาท คือคนพิการอายุต่ำกว่า 18 ปี หรือผู้ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเธอมองว่า ไม่เพียงพอกับความต้องการจำเป็นในการดำรงชีพ แม้เคยมีมติ ครม. รับทราบมติให้ปรับเบี้ยยังชีพเป็น 1,000 บาทถ้วนหน้า แต่รัฐบาลกลับไร้ความชัดเจน ไม่ยอมออกมติ ครม. อนุมัติหลักการ ทำให้ปีนี้ยังคงได้เท่าเดิม กระบวนการขอรับเบี้ยยังชีพยุ่งยาก ซับซ้อน และสร้างภาระ ทั้งการขึ้นทะเบียนและต่ออายุบัตรที่ต้องใช้เอกสารซ้ำซ้อน การผูกเงื่อนไขกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็ไม่ครอบคลุมทุกคนที่จำเป็นระบบที่ควรช่วยให้คนพิการได้รับสิทธิ์ไม่ตกหล่น กลับกลายเป็นอุปสรรค
ค่าอาหารในสถานดูแลของรัฐ สำหรับคนพิการที่ไม่มีครอบครัวดูแลและต้องพึ่งพิงสถานดูแลของรัฐ มีสภาพชีวิตที่ยากลำบาก ยกตัวอย่าง สถานคุ้มครองและพัฒนาคนพิการพระประแดง ที่ดูแลผู้พิการไร้ญาติ พิการซ้ำซ้อน ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ค่าอาหารรายหัวอยู่ที่ เพียง 52 บาทต่อคนต่อวัน หรือ มื้อละ 17 บาท อาหารที่ได้รับคือ ไข่ต้ม 1 ฟอง แกงเขียวหวานใส่ฟัก 1 ชิ้น ไก่ 2 ชิ้นเล็ก หรือบางวันมีเพียงผัดผักกับข้าวสวย
เธอกล่าวว่านี่คือ งบประมาณที่รัฐจัดสรรให้ประชาชนกลุ่มที่เปราะบางที่สุด รวมถึงคนพิการติดเตียงที่ต้องมีเจ้าหน้าที่ป้อนอาหาร ตั้งคำถามว่าจากงบประมาณประเทศ 3.78 ล้านล้านบาท เหตุใดจึงไม่สามารถเพิ่มอีกสัก 10 บาทต่อมื้อได้ เปรียบเทียบกับค่าอาหารกลางวันเด็กนักเรียนที่ 22-36 บาทต่อวัน ซึ่งสูงกว่าค่าอาหารคนพิการอย่างน่าตกใจ ปัจจุบันมีผู้พิการในสถานคุ้มครองฯ ประมาณ 4,292 คน ใช้งบฯ ค่าอาหารปีละ 89.2 ล้านบาท หากเพิ่มเป็น 30 บาทต่อวัน จะใช้งบฯ เพิ่มอีกเพียง 46.9 ล้านบาท
สส.รัชนก ชี้ว่าการจัดสรร 52 บาทต่อวัน ไม่ใช่เพราะความประหยัด แต่สะท้อนทัศนคติที่รัฐมองคุณภาพชีวิตคนพิการ เรียกร้องให้ลดงบประมาณที่ไม่จำเป็น แล้วนำไปเพิ่มค่าอาหารให้เพียงพออย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ให้อยู่ได้แบบแค่ไม่ตาย
โครงการคูปองการศึกษาสำหรับเด็กพิการ เป็นประเด็นสำคัญสำหรับเด็กพิการและครอบครัว งบประมาณปี 2569 รวม 343.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2568 เพียง 1.5 ล้านบาท คูปองนี้สนับสนุนสื่อและเครื่องมือการเรียนรู้ที่เหมาะสม ขั้นตอนการขอรับสิทธิ์ยุ่งยาก ต้องใช้เอกสารจำนวนมาก (เอกสารรับรองความพิการ, แบบคำร้องใหม่ทุกเทอม, แผนการเรียนที่สถานศึกษารับรอง, หลักฐานค่าใช้จ่าย) และยื่น 2 ครั้งต่อปีตามกำหนดเวลา
หากเอกสารไม่ครบหรือยื่นไม่ทัน เด็กจะหลุดจากสิทธิ์ทันที คูปองมีมูลค่าเพียง 2,000 บาทต่อปี แต่ขั้นตอนยุ่งยากกว่าการเบิกจ่ายงบประมาณหลายล้านบาท งบประมาณที่ตั้งไว้ ไม่เพียงพอต่อจำนวนเด็กพิการที่เรียนร่วมในโรงเรียนประมาณ 370,000 คน เงิน 2,000 บาท ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจริง โดยเฉพาะสำหรับเด็กออทิสติก สมาธิสั้น หรือบกพร่องทางการเรียนรู้ ที่ต้องการอุปกรณ์เฉพาะทางซึ่งมีค่าใช้จ่ายเกิน 5,000-10,000 บาทต่อปี
เรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณา เพิ่มงบประมาณให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น เพิ่มจาก 2,000 เป็น 4,000 บาทต่อปี ซึ่งจะใช้งบฯ เพิ่มอีก 343.85 ล้านบาท ขอให้ ปรับกฎเกณฑ์ ลดขั้นตอน การขอรับเงินอุดหนุนเพื่อให้เด็กพิการเข้าถึงได้สะดวก
การเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น คนพิการจำนวนมากต้องการความช่วยเหลือ เช่น ล่ามภาษามือ ในการติดต่อราชการหรือโรงพยาบาล แต่หลายแห่งยังไม่มีบริการ แม้เคยมีข่าวโครงการนำร่องจ้างล่ามภาษามือในศูนย์บริการคนพิการจังหวัด แต่โครงการดังกล่าวไม่ได้ปรากฏในงบประมาณกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.) ปี 2569
งบประมาณสนับสนุนบริการล่ามภาษามือของ พก. เท่าเดิมกับปี 2568 คือเพียง 1.8 ล้านบาท งบประมาณอุดหนุนผู้ช่วยคนพิการก็เท่าเดิมที่ 6.49 ล้านบาท ทั้งที่มีคนพิการอีกมากที่ต้องการผู้ช่วย สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลแทบไม่ได้สนใจคุณภาพชีวิตของคนพิการเลย
โอกาสประกอบอาชีพของคนพิการ กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานรัฐและเอกชนจ้างงานคนพิการ แต่ เปิดช่องให้จ่ายเงินเข้ากองทุนแทนการจ้างงานจริง หน่วยงานภาครัฐควรจ้างงานอย่างน้อย 18,000 คน แต่ปีที่แล้วจ้างจริงเพียง 3,600 คน เงินในกองทุนคนพิการสะสมสูงถึง 12,000 ล้านบาท
ยอดการให้กู้จากกองทุนกลับไม่สูงขึ้น เพราะเข้าถึงได้ยากมาก ต้องใช้เอกสารเยอะแยะ และ ต้องมีคนค้ำประกัน ทั้งที่คนพิการบางคนอาจใช้ไม้ค้ำยันเพื่อช่วยเดินได้อยู่แล้ว เธอกล่าวว่านี่คือการ "ช่วยถ่วง" โครงการที่กองทุนทำเป็นกิจกรรมซ้ำๆ เดิมๆ ที่ ไม่ทำให้คนพิการเข้าถึงการมีงานทำได้จริง เช่น สอนทำพวงกุญแจ ดอกไม้จันทน์ อบรมยาดม ยาหม่อง ไม่มีการเชื่อมโยงตลาดแรงงาน ไม่มีทักษะใหม่ที่ตอบโจทย์เศรษฐกิจดิจิทัล
รัฐไม่เคยฟังเสียงคนพิการว่าพวกเขา "อยากทำอะไร" และ "ทำอะไรได้" สิ่งนี้สะท้อนผ่าน ตัวเลขการมีงานทำของคนพิการที่แย่ลง เหลือเพียง 200,000 คน จาก 800,000 คนในวัยแรงงาน เงินกองทุนที่เพิ่มขึ้นทุกปี มาจาก การเสียโอกาสของคนพิการทั่วประเทศ ที่จะมีรายได้และพึ่งพาตนเองได้
สส. รัชนก สรุปว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดงบประมาณในการส่งเสริมคนพิการ แต่รัฐบาลต้องเร่ง "ปรับทัศนคติ" ของตนเอง มองเห็นชีวิตคนพิการ เปลี่ยนจากความสงสารเป็นความเข้าใจ จากการสงเคราะห์เป็นสิทธิ เธอมองว่า งบประมาณด้านคนพิการคือคำถามที่ว่า "รัฐไทยเห็นความเป็นคนในตัวคนพิการหรือไม่?"
เบี้ยยังชีพที่น้อยเกินไป ค่าอาหารที่ไม่พอประทังชีวิต คูปองการศึกษาที่ขอรับยาก ระบบบริการที่เข้าไม่ถึง โอกาสการทำงานที่ไม่มี คือหลักฐานที่สะท้อนว่า งบประมาณปี 2569 ยังไม่มี "หัวใจ" ให้กับคนกลุ่มนี้เท่าที่ควร
เธอเรียกร้องให้รัฐพิจารณางบประมาณที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ "อย่างกล้าหาญ" กล้าเพิ่ม กล้าปรับ กล้าเปลี่ยนระบบที่ทำให้คนพิการต้อง "ดิ้นรนซ้ำซ้อน" ในสิ่งที่ควรเป็นสิทธิ เพื่อให้พวกเขามีชีวิต "อย่างมีศักดิ์ศรี" ไม่ใช่ให้อยู่ได้แบบ "แค่ไม่ตาย"