svasdssvasds

รู้จัก "ภูมิใจไทย" พรรคการเมืองขนาดกลาง ที่ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน

รู้จัก "ภูมิใจไทย" พรรคการเมืองขนาดกลาง ที่ไม่เคยเป็นฝ่ายค้าน

"อนุทิน" รับ ถ้าพรรคภูมิใจไทย เป็นฝ่ายค้านก็จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ลั่น ไม่ต้องใช้เวลาคิด 2-3 วันตามที่ให้เวลามา ถ้าไม่ได้อยู่ที่เดิม ก็คงต้องต่างคนต่างไป

พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองขนาดกลางที่ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นเมื่อเทียบกับกระแสขั้วการเมืองอื่นๆ เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ในสังคมการเมืองโดยทั่วไปจะมักคุ้นเคยเฉพาะเพียงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกในกลุ่มเพื่อนเนวินเท่านั้น

พรรคภูมิใจไทยก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 มีนายพิพัฒน์ พรมวราภรณ์ เป็นหัวหน้าพรรคนแรก และนายมงคล ศรีอ่อน เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก ต่อมาเมื่อปลายปี 2551 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ โดยการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของกลุ่มเพื่อนเนวินที่หันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดตั้งรัฐบาล ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชาชนพ้นจากตำแหน่ง

ดังวลีเด็ดของนายเนวิน ชิดชอบ ที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นการสื่อสารไปยัง ดร. ทักษิณ ชินวัตร จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้พรรคภูมิใจไทยเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น

นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การเปลี่ยนขั้วทางการเมืองเพื่อสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยได้ดูแลกระทรวงสำคัญ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงพานิชย์

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2552 ได้มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยชุดใหม่ โดยได้เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเป็นนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล และนางพรทิวา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค อย่างไรก็ตาม อาจกล่าวได้ว่าการก่อตั้งพรรคภูมิใจไทยในช่วงแรกนั้นกลุ่มที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในพรรคคงหลีกหนีไม่พ้นกลุ่มเพื่อนเนวิน 

ในเวลาต่อมา เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2554 ผลปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง และสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ในขณะเดียวกันพรรคภูมิใจไทยได้จำนวนที่นั่งเพียง 34 ที่นั่งเท่านั้น และได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน ผลจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้พรรคภูมิใจไทยถูกลดบทบาทลงกลายเป็นพรรคขนาดกลาง

การเลือกตั้งในปี 2562 นายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะหัวหน้าพรรคซึ่งได้รับการเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคตั้งแต่ปี 2555 ได้นำพรรคภูมิใจไทยลงสมัครรับเลือกตั้ง ในช่วงนี้เองที่พรรคฯ ได้เป็นที่รู้จักของประชาชนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอนโยบายที่แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นๆ 

นอกจากนี้ ยังได้มีการดึงตัวผู้สมัครที่มีชื่อเสียงหลายคนมาร่วมงานด้วย เช่น นายภราดร-กรวีร์ ปริศนานันทกุล นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ นายชาดา ไทยเศรษฐ์

 

 

 

 

ก่อนการเลือกตั้งปี 2562 พรรคภูมิใจได้ประกาศว่าจะขอเป็นม้ามืด เข้าเส้นชัยในการเลือกตั้ง มีบทบาทในการก่อตั้งรัฐบาล ปรากฎว่าผลการเลือกตั้งในครั้งนั้น พรรคภูมิใจไทยได้จำนวนถึง 51 ที่นั่ง ทำให้พรรคภูมิใจไทยกลายเป็นม้ามืดทางการเมืองตามที่ประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง

ต่อมาเมื่อมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ในวันที่ 21 ก.พ. 2563 พรรคภูมิใจไทยได้มีการเชิญชวนอดีตสมาชิกพรรคอนาคตใหม่เข้าร่วมพรรคด้วย ทำให้พรรคภูมิใจไทยมี ส.ส. ถึง 61 คน กลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในสภาผู้แทนราษฎร ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยมีสถานะเป็นม้าเต็งตัวหนึ่งทางการเมืองไทยที่มีผลต่อความอยู่รอดเสถียรภาพของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา 

เมื่อพิจารณากลยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคภูมิใจไทยดูจะเรียบง่าย แต่กลับได้ผลเกินคาด นั่นคือการรักษาฐานที่มั่นเดิมไม่ให้หายไปไหน และเพิ่มที่นั่งใหม่ผ่าน ส.ส. ที่เข้ามา ในการเลือกตั้งปี 2554 นั่นพรรคภูมิใจไทยมีฐานที่มั่นอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ และกระจายตามภาคอื่นๆ เพียงเล็กน้อย จนมีที่นั่งเพียง 34 ที่นั่ง แต่การเลือกตั้งในปี 2562 พรรคภูมิใจไทยยังคงรักษาที่นั่งพรรคเดิมของตนได้อย่างเหนียวแน่น ประกอบกับได้ที่นั่งเพิ่มจากตัว ส.ส.ที่ย้ายพรรคเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นจากจังหวัดอุทัยธานี อ่างทอง ศรีสะเกษ เป็นต้น จนได้จำนวน ส.ส. ถึง 51 ที่นั่ง

"ภูมิใจไทย" เคยได้กระทรวงไหนบ้าง

  • ปี 2551 พรรคภูมิใจไทย ได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล และได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลกระทรวงสำคัญในฐานะรัฐมนตรีว่าการ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคม
  • ปี 2554 การเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2554 พรรคภูมิใจไทย ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเลือกสมาชิกพรรคเข้าไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 34 คน และได้เข้าร่วมเป็นฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

  • ปี 2562 ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 พรรคภูมิใจไทย ได้ ส.ส. แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 39 คน และ ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 12 คน รวมทั้งสิ้น 51 คน ได้เข้าร่วมรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยได้รับตำแหน่งสำคัญ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

เส้นทางการเมือง "อนุทิน" จากผู้รับเหมาฯ สู่รัฐมนตรี

นายอนุทิน ชาญวีรกูลเข้าสู่วงการการเมือง เมื่อปี 2539 โดยการรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (ประจวบ ไชยสาส์น) 

  • ปี 2547 - 2548 ดำรงตำแหน่ง รมช.สาธารณสุข
  • ต.ค. 2547 - มี.ค. 2548 รมช.พาณิชย์
  • มี.ค. 2548 - ก.ย. 2549  รมช.สาธารณสุข

ต่อมาในปี 2550 ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทย ที่ถูกสั่งยุบ เมื่อ 30 พ.ค. 2550 

ในปี 2555 นายอนุทิน สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคต้นสังกัดของ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ผู้เป็นบิดา ที่ย้ายมาจากพรรคพลังประชาชน ร่วมกับ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" และต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าพรรคต่อจากบิดา

จากนั้นในการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ.2557 นายอนุทิน ลงสมัครรับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 แต่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

ต่อมาในการเลือกตั้งปี 2562 นายอนุทิน ได้ สส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคภูมิใจไทย และเป็นแคนดิเดตนายกฯ ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ต่อเป็นสมัยที่ 2 และยังได้รับแต่งตั้งเป็น รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข

การเลือกตั้งปี 2566 นายอนุทิน ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ลำดับที่ 1 และได้รับการเสนอชื่อให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง และต่อมาเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลโดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ 

กระทั่งมีการจัดตั้งรัฐบาลครั้งใหม่ ที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ซึ่งพรรคก้าวไกลส่งไม้ต่อเนื่องจากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้จะเป็นพรรคที่ได้เสียงอันดับ 1 ในการเลือกตั้ง โดยพรรคเพื่อไทยได้เชิญพรรคภูมิใจไทยที่มี สส. 71 เสียง ร่วมจัดตั้งรัฐบาล 

ปี 2566 หลังจัดตั้งรัฐบาล และโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐบาลทั้งคณะ นายอนุทิน ได้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และคุมกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรัฐมนตรีว่าการ อีก 1 ตำแหน่ง 

เดือน ส.ค.2567 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกรัฐมนตรี ปมแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ชี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง มีลักษณะต้องห้าม และให้รัฐมนตรีพ้นตำแหน่งทั้งคณะ

ย้อนวีรกรรม "งูเห่า" ในอดีต

ปรากฏการณ์ “งูเห่า” เกิดขึ้นในระหว่างการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 หรือที่รู้จักกันในชื่อ การจัดตั้ง “รัฐบาลในค่ายทหาร”เมื่อ ส.ส.อีสาน “กลุ่มเพื่อนเนวิน” 23 คน นำโดยนายเนวิน ชิดชอบ เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งยกมือโหวตสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคพลังประชาชนและตัดสิทธิ์ทางการเมืองผู้บริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี จากกรณีการทุจริตเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ภายหลังจากการยุบพรรค ส.ส. พรรคพลังประชาชน ได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย เว้นเพียง ส.ส.อีสาน “กลุ่มเพื่อนเนวิน” 23 คน ที่ย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย

ผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ด้านกลุ่มเพื่อนเนวิน ได้รับการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี 4 ตำแหน่ง นั่นก็คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทย และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

มาถึงยุคพรรคพลังประชารัฐในปี 2562 พรรคพลังประชารัฐเคยใช้พลังดูด สส. จนคว้า สส. แบบแบ่งเขตมาได้ 97 ที่นั่ง และคะแนนถูกคำนวณเป็น สส.แบบบัญชีรายชื่ออีก 19 ที่นั่ง รวมเป็น 117 ที่นั่ง ขณะที่การเลือกตั้งปี 2566 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพลังประชารัฐขอแยกทางไปเป็นแคนดิเดตพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งก็สร้างพรรคขึ้นจากการ “ดูด” สส.เดิมจากพรรคพลังประชารัฐ ตามมาสมทบ 24 คน ขณะเดียวกันก็ได้ส.ส.จากพรรคอื่นๆ เช่น ประชาธิปัตย์ อีก 10 คน รวมแล้วมี สส. จากสภาชุดที่ 25 ย้านมาเข้าพรรคถึง 48 คน 

การเลือกตั้งในปี 2566 ด้านพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล มี สส.ที่ย้ายออกจากพรรครวม 25 คน โดยเป็นการย้ายพรรคระหว่างที่สภายังต้องการเสียงสนับสนุนอยู่ เรียกว่า “จบไม่สวย” 22 คน ทั้งหมดถูกจดจำในฐานะ “สส.งูเห่า” ต่างกรรมต่างวาระ

อ้างอิงข้อมูล : iLaw , สถาบันพระปกเกล้า

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

 

related