svasdssvasds

ผ่ากลเกมอนุรักษนิยม ทำลายแดง แยกส้ม! กับ ผศ.ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์

ผ่ากลเกมอนุรักษนิยม ทำลายแดง แยกส้ม! กับ ผศ.ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์

ผ่ากลเกมอนุรักษนิยม ทำลายแดง แยกส้ม! กับ ผศ.ดร.ศิวพล เผยกลไก นิติสงครามและแบ่งแยกผู้คน สร้างความแตกแยกเพื่อรักษาอำนาจ และชวนหาทางออกประชาธิปไตย

SHORT CUT

  • ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้กลไกอันซับซ้อน ได้แก่ "นิติสงคราม" ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะกลุ่มหัวก้าวหน้า
  • กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายเพื่อ แยกพรรคเพื่อไทย ("แดง") ออกจากพรรคก้าวไกลและพันธมิตร ("ส้ม")
  • ผศ.ดร.ศิวพล ชี้ว่าแม้สถานการณ์จะยากลำบาก แต่สิ่งสำคัญคือการ ใจเย็นและยึดมั่นในกติกาของประชาธิปไตย

ผ่ากลเกมอนุรักษนิยม ทำลายแดง แยกส้ม! กับ ผศ.ดร.ศิวพล เผยกลไก นิติสงครามและแบ่งแยกผู้คน สร้างความแตกแยกเพื่อรักษาอำนาจ และชวนหาทางออกประชาธิปไตย

ท่ามกลางกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกราก การเมืองไทยยังคงเป็นเหมือนเขาวงกตที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยกับดักที่มองไม่เห็น ผู้คนจำนวนมากที่ใฝ่หาประชาธิปไตยต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันน่าปวดใจ นั่นคือความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่พวกเดียวกันเอง ความขัดแย้งที่ดูเหมือนจะลุกลามใหญ่โตในโซเชียลมีเดียระหว่างผู้สนับสนุน "ส้ม" และ "แดง" ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ แต่มันคือผลลัพธ์ของกลไกอันแยบยลที่ฝ่ายอนุรักษนิยมนำมาใช้เพื่อธำรงรักษาอำนาจไว้

นี่คือบทสนทนาที่จะพาเราไปสำรวจกลเกมแห่งอำนาจนี้กับ ผศ.ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ที่ช่วยคลี่คลายการเมืองไทยอันซับซ้อนและรอบด้านทำให้หลายคนมองภาพการเมืองได้ชัดเจนขึ้น

 

นิติสงคราม อาวุธเงียบที่มองไม่เห็นแต่บาดลึก

เมื่อพูดถึงการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามของฝ่ายอนุรักษนิยม หลายคนอาจนึกถึงภาพการรัฐประหาร การใช้ความรุนแรงจากรัฐ หรือเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่เคยเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ แต่ ผศ.ดร.ศิวพล ชี้ให้เห็นว่าในปัจจุบันอาวุธที่อันตรายและแนบเนียนกว่านั้นคือ "นิติสงคราม" ซึ่งเป็นกลไกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างชอบธรรมด้วยตัวบทกฎหมายที่ฝ่ายอนุรักษนิยมเป็นผู้ร่างขึ้นมา และถูกบังคับใช้โดยกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ยังคงมีแนวคิดอนุรักษนิยม ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ฝ่ายตุลาการ หรือแม้แต่นักการเมืองบางส่วน นิติสงครามจึงไม่ใช่แค่การใช้กฎหมายเพื่อลงโทษ แต่เป็นการใช้กฎหมายเพื่อทำลายล้างทางการเมืองอย่างเป็นระบบ

อาจารย์อธิบายว่า นิติสงครามกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะกลุ่มที่ถูกนิยามว่าเป็น "ฝ่ายซ้าย" ในปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้หมายถึงคอมมิวนิสต์แบบยุคสงครามเย็นอีกต่อไป แต่คือกลุ่ม "หัวก้าวหน้า" หรือผู้ที่มีแนวคิดแบบเสรีประชาธิปไตยที่เชื่อในหลักการความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ซึ่งเป็นคนละขั้วกับแนวคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมที่ตั้งอยู่บนฐานความไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว นิติสงครามจึงถูกนำมาใช้เพื่อสร้างกฎหมายและบังคับใช้เพื่อกำจัดคู่แข่งทางการเมือง และท้ายที่สุดก็นำไปสู่กลไกสำคัญที่สุดคือ "ตุลาการภิวัตน์" ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเครือข่ายอำนาจเก่า ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำ กองทัพ หรือแม้แต่ผู้พิพากษา ซึ่งเป็นกระบวนการทำลายทางอ้อมที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นและยากที่จะตอบโต้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

แบ่งเขาแบ่งเรา สงครามจิตวิทยาบนสมรภูมิโซเชียลที่กำลังทำให้แตกเป็นเสี่ยงๆ

นอกจากนิติสงครามแล้ว ยังมีอีกกลไกหนึ่งที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้เพื่อแยกขั้วและสร้างความแตกแยก นั่นก็คือ "การแบ่งเขาแบ่งเรา" ซึ่งเป็นการเล่นเกมทางจิตวิทยาที่อาศัยความอ่อนไหวในประเด็นทางสังคม เช่น ความรักชาติ โดยฝ่ายอนุรักษนิยมจะกำหนดเกณฑ์บางอย่างที่เชื่อมโยงความรักชาติเข้ากับสถาบันหลักของชาติ และใครก็ตามที่มีความคิดเห็นแตกต่างออกไปก็จะถูกจัดกลุ่มให้เป็น "คนอื่น" การตีความแบบนี้จะนำไปสู่ความรู้สึกเกลียดชังและสุดท้ายก็อาจนำไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้ในที่สุด

ปรากฏการณ์นี้ชัดเจนที่สุดในปัจจุบัน คือการที่ผู้คนในโลกโซเชียลมีเดียถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน ฝ่ายหนึ่งถูกนิยามว่าเป็น r;dที่ถูกผูกโยงกับอำนาจเก่าในอดีต และอีกฝ่ายคือ ตัวแทนของแนวคิดก้าวหน้าใหม่ การแบ่งแยกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังทางจิตวิทยา เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกว่าเป็น "คนอื่น" และไม่สามารถร่วมมือกันได้ในที่สุด ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ฝ่ายอนุรักษนิยมใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ฉากทัศน์ “ทำลายแดง แยกส้ม” เกมการเมืองที่อนุรักษนิยมต้องการ

จากสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่หลายคนเรียกกันว่า "ดีลลับ" ที่เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มอำนาจเก่ากับพรรคเพื่อไทย ทำให้เกิดข้อกังขาว่านี่คือความพยายามที่จะทำลายพรรคการเมืองเสรีนิยมไม่ให้รวมตัวกันได้หรือไม่ ผศ.ดร.ศิวพล อธิบายว่าเสรีนิยมเป็นแนวคิดที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ และการรวมตัวกันของผู้คนที่มีแนวคิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะสร้างความหวังให้กับผู้คนจำนวนมากที่ถูกกดทับ

แต่ในทางกลับกัน ความรวมตัวนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมรู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน จึงนำไปสู่กลยุทธ์ที่เรียกว่า "ทำลายแดง แยกส้ม" ซึ่งเป็นไปได้ว่าฝ่ายอนุรักษนิยมที่เดิมทีพยายามจะกำจัดพรรคเพื่อไทยมาตลอดตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 แต่เมื่อมี "ผู้เล่นใหม่" อย่างพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลจนถึงพรรคประชาชนขึ้นมา พวกเขาจึงเปลี่ยนเกมโดยพยายามที่จะแยก "แดง" ออกจาก "ส้ม" ให้ได้มากที่สุด เพราะความแตกแยกนี้จะทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมยังคงมีอำนาจต่อไปได้ เป็นเกมที่ฝ่ายอนุรักษ์ไม่ไว้ใจทั้งสองฝ่าย แต่อาศัยความแตกแยกนี้เพื่อรักษาอำนาจของตนไว้

ทางออกที่ปลายอุโมงค์ สติและกติกาคือสิ่งสำคัญ

เมื่อถูกถามถึงทางออกของสถานการณ์นี้ ผศ.ดร.ศิวพล ยอมรับว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้คำตอบที่ชัดเจน แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการ "ใจเย็นๆ" และให้ทุกอย่างดำเนินไปตามกติกาของประชาธิปไตย แม้ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะยังไม่ถูกใจทุกคน แต่ก็ยังดีกว่าการหลุดออกจากวิถีประชาธิปไตย อาจารย์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของ "สติ" ของคนในสังคม โดยเฉพาะกลุ่มผู้สนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยที่กำลังขัดแย้งกันเอง

"พวกเขารู้สิ ก็รู้สิ แต่ว่าเอาตรงๆ นะ ผมว่าวันนี้ มันอยู่ในทางเลือกที่มันไม่ได้มีอะไรให้เราเลือกได้มาก ด้วยโครงสร้างที่มันติดกับเราอยู่" คำพูดนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้เล่นทางการเมืองฝ่ายก้าวหน้าเองก็รู้ตัวถึงกับดักที่ถูกวางไว้ แต่ด้วยโครงสร้างที่ถูกออกแบบมาอย่างรัดกุมภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560 ทำให้พวกเขาทำอะไรได้ไม่มากนัก เปรียบเสมือน "เรารู้ว่ามีผีอยู่บนเตียง แต่พูดไม่ออก"

จากการสนทนากับ ผศ.ดร.ศิวพล จะเห็นได้ว่า  "ต่อให้การเมืองมันจะเจอทางตันแล้วแต่ ทางตันๆ มันไม่เคยมี" ตราบใดที่เรายังเชื่อมั่นในประชาธิปไตยและเล่นตามกติกา ประชาธิปไตยก็จะเป็นทางออกเดียวที่ประเทศนี้ยอมรับร่วมกันได้ในที่สุด อาจารย์ยังเน้นย้ำว่าเราต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งไม่ได้เป็นทุกอย่าง แต่ตราบใดที่การเลือกตั้งยังคงมีอยู่ มันก็ยังแสดงถึงว่าคนไทยยังคงอยู่ในวิถีประชาธิปไตยที่มันควรจะเป็น

หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่กำลังรู้สึกท้อแท้กับความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคม บทความสัมภาษณ์ อจารย์ศิวพล อาจช่วยให้คุณได้มองเห็นภาพรวมของเกมการเมืองที่ซับซ้อนนี้ และตระหนักได้ว่าการเอาชนะความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกลุ่มของคนที่เห็นต่างกันเองอาจไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง แต่คือการก้าวข้ามกลเกมแห่งอำนาจ และรักษาประชาธิปไตยให้อยู่รอดต่อไปได้ในที่สุด และสุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งคำถามกับตัวเองและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อหาทางออกที่แท้จริงร่วมกัน

 

related