svasdssvasds

ภูมิใจไทย อาจพับโครงการเพื่อไทย สานฝันโครงการยุคลุงตู่

ภูมิใจไทย อาจพับโครงการเพื่อไทย สานฝันโครงการยุคลุงตู่

อนุทิน นั่งนายกรัฐมนตรี ภูมิใจไทยอาจพับฝันกาสิโนและรถไฟฟ้าเพื่อไทย ปลุกโปรเจกต์ คนละครึ่ง สวดิการแห่งรัฐ ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ

SHORT CUT

  • นโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทยถูกปรับลดขอบเขตอย่างมากเมื่อนำมาปฏิบัติจริง
  • รัฐบาลภูมิใจไทยไม่สนับสนุนนโยบายใหญ่บางอย่างของเพื่อไทยและอาจพับเก็บโครงการ
  • รัฐบาลภูมิใจไทยเน้นการสานต่อโครงการขนาดใหญ่และสวัสดิรวมถึงประชานิยม

อนุทิน นั่งนายกรัฐมนตรี ภูมิใจไทยอาจพับฝันกาสิโนและรถไฟฟ้าเพื่อไทย ปลุกโปรเจกต์ คนละครึ่ง สวดิการแห่งรัฐ ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ

ในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองนำเสนอวิสัยทัศน์และคำมั่นสัญญาต่อประชาชนเพื่อชิงชัยทางการเมือง แต่เมื่อการจัดตั้งรัฐบาลเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรูปแบบรัฐบาลผสม การนำนโยบายเหล่านั้นไปปฏิบัติจริงกลับกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น

ขณะที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยได้นำเสนอนโยบายเรือธงหลายประการที่สร้างความหวังและได้รับความสนใจจากประชาชนในวงกว้าง นโยบายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องและยกระดับคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทและดิจิทัลวอลเล็ตที่ถือเป็นสองนโยบายหลักที่ใช้ในการหาเสียง

แต่เมื่อถึงคราวพรรคเพื่อไทยหมดอำนาจลงจากการเป็นรัฐบาล พรรคใหม่ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทยก็อาจไม่ทำตามนโยบายของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยไทยไว้เช่นกัน

นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท วิสัยทัศน์แห่งการเข้าถึงโดยถ้วนหน้า

คำมั่นสัญญาเดิมของพรรคเพื่อไทยคือการทำให้คนไทยสามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้าได้ทุกสายในราคา 20 บาทตลอดสายภายในปี 2568 โดยผู้โดยสารจะจ่ายเพียงครั้งเดียวไม่ว่าจะเปลี่ยนกี่สายก็ตามหากยังอยู่ในระบบ หัวใจของนโยบายนี้คือการทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นของประชาชนทุกคน เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางและเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชน

นโยบายนี้ถูกมองว่าเป็นแนวทางที่ชัดเจนและแข็งแกร่งในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและลดภาระค่าครองชีพของประชาชนในเขตเมือง

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท การกระตุ้นเศรษฐกิจสำหรับทุกคน

แนวคิดเริ่มต้นของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตคือการแจกเงินจำนวน 10,000 บาทให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปหลักการของนโยบายนี้คือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยตรงในวงกว้าง เพื่อกระตุ้นการบริโภคและเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ

โดยเชื่อว่าการกระตุ้นดังกล่าวจะช่วยสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระจายรายได้ไปสู่ท้องถิ่นและชุมชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งแตกต่างจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในอดีตที่อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึง

เมื่อพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาลและต้องร่วมทำงานกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ นโยบายเรือธงที่เคยหาเสียงไว้ก็ถูกนำมาทบทวนและปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงทางการเมือง การคลัง และกฎหมาย ส่งผลให้เกิดความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคำสัญญาและแนวทางปฏิบัติ

นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท จากวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางสู่ความจริงแบบจำกัดระยะ

สิ่งที่ปรากฏในปัจจุบันคือการเริ่มต้นนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทในลักษณะโครงการนำร่องที่จำกัดเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน) และสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ซึ่งแตกต่างจากคำมั่นที่ว่าจะใช้ได้ "ทุกสาย" อย่างสิ้นเชิง 

การปรับเปลี่ยนนี้มีสาเหตุหลักมาจากพลวัตของรัฐบาลผสม นอกจากปัจจัยทางการเมืองแล้ว ปัญหาทางเทคนิคและข้อจำกัดทางกฎหมายก็เป็นอุปสรรคสำคัญ การนำนโยบายไปใช้กับทุกเส้นทางจำเป็นต้องมีการเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ซับซ้อนและยาวนาน ซึ่งมีความยุ่งยากไม่แพ้โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน 

ปัญหานี้ทำให้การรวมระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสารเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แม้จะมีการประมาณการว่านโยบายนี้ต้องใช้งบประมาณเพียง 8,000 ล้านบาทต่อปีในเบื้องต้น แต่ความซับซ้อนทางสัญญาและข้อจำกัดทางการเงินก็ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแนวทางจากคำสัญญาเดิม

ล่าสุดเมื่อเเปลี่ยนรัฐฐาลใหม่จากพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคภูมิใจไทย ทิศทางนโยบายดังกล่าวดูเหมือนว่าก็ต้องพับเก็บเข้าลิ้นชักไป

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต จากคำมั่นสัญญาแบบไม่มีเงื่อนไขสู่การกำหนดเงื่อนไขที่รัดกุม

นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกนำมาใช้จริงได้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างมากจากที่เคยหาเสียงไว้ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขคุณสมบัติที่เข้มงวดขึ้น ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 840,000 บาทต่อปี และมีเงินฝากรวมกันทุกบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการเผชิญหน้ากับกลไกการตรวจสอบของรัฐตามกระบวนการของสถาบันทางกฎหมายและการคลัง

หน่วยงานอย่างคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ที่ระบุว่าการกู้เงินจำนวนมากจะทำได้ก็ต่อเมื่อประเทศตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตที่จำเป็นและเร่งด่วนเท่านั้น 

นอกจากนี้นักเศรษฐศาสตร์ยังแสดงความกังวลว่าการใช้เงินจำนวนมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นโดยไม่มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนอาจส่งผลเสียต่อวินัยทางการคลังและภาระหนี้สาธารณะในระยะยาว ความเห็นเหล่านี้บังคับให้รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนนโยบายเพื่อลดความเสี่ยงทางกฎหมายและสร้างความมั่นใจในเรื่องความยั่งยืนทางการคลัง

ทำให้ในที่สุดนโยบายที่ออกมาเป็นการประนีประนอมระหว่างความมุ่งมั่นทางการเมืองกับข้อจำกัดทางกฎหมายและการเงิน

Entertainment Complex แดงฝันได้ แต่น้ำเงินไม่ได้ฝันถึง

พรรคเพื่อไทยมองว่า เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงให้เข้ามาในประเทศมากขึ้น เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวและการลงทุนขนาดใหญ่ รวมถึงสร้างงานให้แก่ประชาชนหลายหมื่นตำแหน่ง 

มีเป้าหมายเพื่อนำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการพนันที่ผิดกฎหมายเข้ามาอยู่ในระบบควบคุม เพื่อให้รัฐสามารถจัดเก็บภาษีและบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงนำรายได้ส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือและบำบัดผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการพนัน โดยอ้างอิงรูปแบบความสำเร็จจากประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์

ร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. ... (กฎหมายกาสิโนถูกกฎหมาย) ผ่าน ครม. เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2568 พร้อมมีข้อจำกัดเพิ่มเติมคือ สามารถมีพื้นที่กาสิโนได้เพียง 10% ของพื้นที่เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ส่วนอีก 90% ที่เหลือจะแยกย่อยเป็นบริการอื่นๆ ด้วย ได้แก่ โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามกีฬา สวนสนุก สวนน้ำ ยอร์ชและครูซิ่งคลับ รวมถึงพื้นที่ส่งเสริมวัฒนธรรม สินค้า OTOP

ภายหลังรัฐบาลเพื่อไทยสิ้นสุดลงดูเหมือนว่าทางรัฐบาลพรรคภูมิใจไทยจะแสดงท่าทีไม่สนับสนุนอย่างชัดเจน

เห็นได้จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย ที่เตรียมเสนอต่อรัฐสภา มีการพูดถึงว่าไม่สนับสนุนให้มี การประกอบธุรกิจการพนันทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุนเอนเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีธุรกิจการพนัน รวมถึงการพนันที่แฝงมาในรูปของกีฬา อาทิ โป๊กเกอร์ และจะดำเนินการแก้ไข พระราชบัญญัติการพนันและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนัน ให้ได้มากที่สุด

ภูมิใจไทย ไม่เดินตามเพื่อไทย แต่เน้นขุดโครงการเก่าผสานเข้ากับแนวทางใหม่

ภายหลังรัฐฐาลเพื่อไทยต้องมีอันสิ้นสุดลงหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในที่สุดพรรคภูมิใจไทยก็ได้เสียงเห็นชอบจากสภาโดยมีพรรคประชาชนสนับสนุนแต่ไม่ร่วมรัฐบาลสามารถจัดตั้งรัฐบาล ส่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก้าวเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล 

ในฐานะนายกรัฐมนตรีการบริหารของรัฐบาลปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการนำนโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการสานต่อและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 

โครงการแลนด์บริดจ์ มหากาพย์เมกะโปรเจกต์ที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพ

โครงการแลนด์บริดจ์ หรือโครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้เชื่อมฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) มีประวัติการศึกษามาอย่างยาวนานและเคยถูกบรรจุอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลก่อน รัฐบาลภูมิใจไทย ได้พูดถึงการนำโครงการดังกล่าวขึ้นมาผลักดัน 

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการ ‘คนละครึ่งพลัส’

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐและโครงการ "คนละครึ่ง" เป็นนโยบายเศรษฐกิจที่ริเริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพในช่วงวิกฤตโควิด-19 ล่าสุดรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ยกเลิกนโยบายเหล่านี้ แต่ได้นำมาสานต่อและปรับปรุงใหม่ภายใต้ชื่อ "คนละครึ่งพลัส"

โครงการใหม่นี้มีแนวคิดในการแบ่งกลุ่มประชาชนออกเป็นสองกลุ่มหลัก โดยผู้เสียภาษีจะได้รับสิทธิพิเศษที่รัฐช่วยจ่ายในสัดส่วนที่สูงกว่า (60:40) ในขณะที่ประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจะยังคงได้รับสิทธิในสัดส่วนเดิม (50:50)

การปรับเปลี่ยนนี้ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลได้ใช้ประโยชน์จากนโยบายในอดีตมาเป็นพื้นฐานในการทำงาน พร้อมทั้งเพิ่มมิติเชิงยุทธศาสตร์ด้วยการใช้สิทธิพิเศษเป็นแรงจูงใจให้ผู้ที่ไม่เคยเข้าสู่ระบบภาษีได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในระบบเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการมากขึ้น 

การดำเนินการเช่นนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ได้ยึดติดกับนโยบายของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะหยิบยืมและปรับปรุงมาตรการที่เคยมีมาแล้วให้ตอบโจทย์เป้าหมายใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จะเห็นได้ว่านโยบายขนาดใหญ่ของชาติและโครงการสวัสดิการที่ประสบความสำเร็จมีแนวโน้มที่จะถูกสานต่อโดยรัฐบาลชุดใหม่ การสานต่อโครงการแลนด์บริดจ์และนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นข้อพิสูจน์ว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ แต่ได้ใช้ประโยชน์จากพิมพ์เขียวและรากฐานที่รัฐบาลก่อนหน้าได้วางไว้

นโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ใช่ภาพสะท้อนที่สมบูรณ์แบบของคำมั่นหาเสียงของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นผลผลิตของกระบวนการที่ซับซ้อนของการปรับตัวและการสานต่อ 

แนวโน้มการบริหารประเทศเช่นนี้มีนัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในคำมั่นสัญญาทางการเมืองและต่อทิศทางของธรรมาภิบาลของประเทศในอนาคต รัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายในการสื่อสารและสร้างความเข้าใจให้ประชาชนยอมรับการปรับเปลี่ยนนโยบายที่เกิดขึ้นอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าการบริหารไม่ได้ยึดติดกับคำพูด แต่คำนึงถึงความเป็นไปได้และความยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่การเมืองเชิงนโยบายที่เน้นความเข้าใจในสถานการณ์จริงมากขึ้นในอนาคต

อ้างอิง

Plus / Thai / Politics / Rath / Tham / ST1 / ST2ฐานเศรษฐกิจ / TCC / ภูมิใจไทย / Senate / Thai / พท1 / พท2 / ดิจิทัลวอลเล็ต / M / Policy / Public / Thai1 / MG / Policy1 / Pracha1 / Pracha2 / Matter / SPRiNG /

related