svasdssvasds

"บวรศักดิ์" แจงเลือกตั้งครั้งหน้ากาบัตร 4 ใบ เลือก สส. 2 ใบ ประชามติแก้รธน.

"บวรศักดิ์" แจงเลือกตั้งครั้งหน้ากาบัตร 4 ใบ เลือก สส. 2 ใบ ประชามติแก้รธน.

“บวรศักดิ์” แจงยิบ ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ยันแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ โยนรายละเอียดการแก้ไขให้ ส.ส.ร. เผย วันเลือกตั้งสส. ปชช.ได้บัตร 4 ใบ เลือก "สส.-สว.-ประชามติแก้รธน." พ่วงยกเลิก MOU ไทยกัมพูชาหรือไม่

SHORT CUT

  • นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ชี้แจงต่อรัฐสภาว่าการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ประชาชนจะได้รับบัตรลงคะแนนทั้งหมด 4 ใบ
  • บัตร 2 ใบแรกจะใช้สำหรับเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ
  • บัตรใบที่ 3 เป็นการลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะประกอบด้วย 2 คำถาม
  • บัตรใบที่ 4 เป็นการลงประชามติเพื่อถามความเห็นประชาชนว่าจะให้ยกเลิกเอ็มโอยู (MOU) กับประเทศกัมพูชาหรือไม่

“บวรศักดิ์” แจงยิบ ยกรัฐธรรมนูญมาตรา 255 ยันแก้ไขทั้งฉบับไม่ได้ โยนรายละเอียดการแก้ไขให้ ส.ส.ร. เผย วันเลือกตั้งสส. ปชช.ได้บัตร 4 ใบ เลือก "สส.-สว.-ประชามติแก้รธน." พ่วงยกเลิก MOU ไทยกัมพูชาหรือไม่

วันที่ 29 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาวาระเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาวาระแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา กรณีสมาชิกมีการตั้งคำถามถึงกรณีคำถามเรื่องแก้รัฐธรรมนูญนั้น ถ้ามีการแก้หมวด 1 และหมวด 2 จะทำอย่างไร

ตนขอเรียนว่าในนโยบายรัฐบาลได้เขียนไว้ชัดเจนว่า รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการทำประชามติและ การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเพื่อธำรงค์ไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

"การจัดทำรัฐธรรมนูญไม่ได้ใช้คำว่า จัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับรัฐธรรมนูญ รัฐบาลนี้ไม่ต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ แต่ต้องการสนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งเป็นไปตามนโยบายที่แถลงไว้ต่อรัฐสภา"

รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นเป็น ขั้นตอนแรก คือ ประชาชนลงประชามติเห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนที่ประชาชนจะเห็นชอบวิธีการเนื้อหาสาระ ที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญสำเร็จเสร็จสิ้นมาแล้ว ตามมาตรา256 จะไม่มีการรลงไปที่เนื้อหา ดังนั้นเนื้อหาสมาชิกต้องรอว่าสสร.ที่มาจากหมวด 15 /1 จะพิจารณาอย่างไร

ทั้งนี้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นสิ่งที่รัฐสภาจะต้องพิจารณา คือวิธีการจัดทำฉบับใหม่ว่าจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างไรโดยไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุว่าจะให้เลือกสสร.โดยตรงจากประชาชนไม่ได้ 

 

นายบวรศักดิ์ ย้ำว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสสร.ตามที่เขียนไว้ในหมวด 15 /1 ที่ผ่านประชามติตรงนั้นถึงจะมาดูกันว่าจะไปแตะหมวด 1 หมวด 2 หรือไม่ แต่เชื่อว่าสองพรรคใหญ่ได้พูดไปแล้วในสื่อมวลชนว่า จะไม่แตะหมด 1 หมวด 2 เพราะจะมีปัญหาประเด็นขัดหรือไม่กับรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ในมาตรา 255 ที่ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจะกระทำไม่ได้ 

ฉะนั้นประเด็นนี้ชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่า ประชามติที่รัฐบาลจะทำวันเดียวกับวันเลือกตั้งเป็นประชามติ 2 เรื่องเท่านั้นตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคือ

  1. ประชาชนจะเห็นชอบให้มีการจัดทำฉบับใหม่หรือไม่ 
  2. ประชาชนจะเห็นชอบกับวิธีการและเนื้อหาสาระที่รัฐสภาทำร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วสำเร็จเสร็จสิ้นมาแล้วตามมาตรา 256 อนุมาตรา1 ถึงอนุมาตรา 6 จะไม่มีการลงไปถึงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับฉบับใหม่

เพราะฉะนั้นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องรอสสร.ที่มาจากหมู่ 15/1 ว่าจะเขียนอะไร แต่ที่แน่ที่สุดเท่าที่ตนทราบพรรคภูมิใจไทยกับอีกพรรคหนึ่งซึ่งเป็นพรรคใหญ่ได้แถลงอย่างชัดเจนว่าจะไม่แตะหมวด 1 หมวด 2

ส่วนเรื่อง คุณสมบัติลักษณะต้องห้าม ตามธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 256 อนุมาตรา 8 พูดไว้ชัดว่าจะไปแก้คุณสมบัติลักษณะต้องห้ามต้องทำประชามติก่อน เรื่องนี้รัฐบาลไม่แตะ แต่มีการพูดถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น ส่วนสสร.ที่จะมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญจะแตะหรือไม่ต้องตามไปดูในขั้นตอนที่ 2

ส่วนประเด็นการจัดทำประชามติยกเลิก MOU ไทย-กัมพูชา นั้น การจัดทำมติแต่ละครั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)บอกว่า จะต้องใช้เงินเป็นจำนวน 6 พันล้านบาท เพราะฉะนั้นเพื่อให้เป็นการประหยัดงบประมาณแผ่นดิน รัฐบาลจึงจะจัดทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งสส.หลังการยุบสภา

โดยเนื้อหาประชามติจะมีเรื่องที่จัดทำ "ท่านเห็นชอบให้ยกเลิกเอ็มโอยูกับกัมพูชาหรือไม่"  

โดยสรุปรัฐบาลต้องประชาสัมพันธ์ให้ชัดเจนว่าในการเลือกตั้งทั่วไปหลังการยุบสภาประชาชนจะมีบัตรทั้งสิ้น 4 ใบ สส.เขต สส.บัญชีรายชื่อ การลงประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญโดยมี 2 คำถามและใบสุดท้ายเป็นใบที่ 4 ประชาชนต้องวินิจฉัยว่าจะให้ยกเลิกเอ็มโอยูกับกัมพูชาหรือไม่

ทั้งนี้เห็นว่า เรื่องสำคัญกับประเทศเพื่อนบ้านรัฐบาลรัฐบาลเฉพาะกิจไม่ควรทำฉันทามติด้วยตัวเองแต่ควรทำฉันทำมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 เพื่อถามความเห็นจากประชาชน เพราะประชาชนคือเจ้าของอำนาจประชาธิปไตยเขาต้องตัดสินใจด้วยตัวของเขาเอง

นายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นสุดท้ายที่สมาชิกบอกว่า อย่าเล่นพวกโดยเฉพาะเรื่องการแต่งตั้ง ความจริงรัฐบาลรักษาการที่แล้วลงมติตั้งอธิบดีไปหลายกรม รวมถึงตำแหน่งบริหารหลายตำแหน่ง

เมื่อนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้รับพระบรมราชการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องนำความกราบบังคมทูลก็ส่งเรื่องกลับคืนมา วันนี้พอแถลงนโยบายเสร็จท่านนายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)ยืนยันเรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลรักษาการที่แล้วไปทุกตำแหน่งเกือบ 10 ตำแหน่ง  

ตรงนี้ก็พอจะทำให้ท่านเห็นได้แล้วว่า เรื่องไหนที่ผ่านครม. ไปแล้วรัฐบาลก็เดินต่อ ไม่มีเจตนาที่จะดึงกลับมาและต้องเอาพรรคพวกของพรรคการเมืองของตัวเสียบเข้าไปใหม่ ยกเลิกมติครม.เดิมและเอามติครม.ใหม่คงจะทำให้ท่านอุ่นใจได้ในระดับหนึ่ง

ส่วนที่ระบุว่าอย่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ยืนยันว่าเมื่อนายกฯได้ชักชวนตนเข้ามารับตำแหน่ง ได้แจ้งไปแล้วว่า เรื่องไหนที่เป็นอยู่ในเวลานี้ เช่นเรื่องส.ว. เรื่องเขากระโดง รวมถึงเรื่ององค์กรอิสระหรือกระบวนการยุติธรรมก็ขอให้ไปตามกระบวนการยุติธรรมที่ควรจะเป็นท่านก็รับปาก ขอเรียนว่า รัฐบาลแถลงว่าจะไม่ให้ใช้กฎหมายและหน่วยงานของรัฐเจ้าหน้าที่ของรัฐไปเป็นประโยชน์ทางการเมือง 

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะในอดีตเคยมีการเอาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ไปสอบคนที่ดูเหมือนจะอยู่ฝ่ายที่ไม่เอื้อรัฐบาลเมื่อตนเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ก็ได้มีการแก้กฎหมายวางกลไกในการตรวจสอบการใช้อำนาจและไม่ให้เลขาปปง.คนที่หวังไปก้าวหน้าในตำแหน่งราชการอื่น

ปรากฏว่า ต่อมาภายหลังเขาแก้กลับไปหมด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทบทวนว่าการใช้ดุลย์พินิจที่เป็นคุณเป็นโทษเพื่อประโยชน์การเมืองอาจต้องมีหน่วยงานเข้ามากำกับการใช้ดุลพินิจให้เป็นไปโดยถูกต้องซึ่งอาจจะต้องมีการแก้กฎหมายจึงจำเป็นต้องมีการขอความร่วมมือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาไม่ใช่เพื่อแทรกแซงแต่ป้องกันการไม่ให้หน่วยงานนั้นตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองอีกต่อไป

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ

 

related