SHORT CUT
กระทรวงพลังงานเปิดแผน ‘QICK BIG WIN’ ผลักดันโครงการโซลาร์ภาคประชาชน มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับครัวเรือนที่ติดตั้งแผงโซลาร์ ลดหย่อนได้สูงสุด 200,000 บาท
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยในการชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการแถลงนโยบายของรัฐบาล เกี่ยวกับโครงการควิกบิ๊กวินทางด้านพลังงาน (QICK BIG WIN) ว่า โครงการหรือความตั้งใจที่จะดำเนินการในช่วง 4 เดือน ชื่อโครงการก็จะสอดคล้องกับนโยบายหลักของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
โดยโครงการแรกคือโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เนื่องจากโซลาร์ หรือพลังงานทดแทนที่ผ่านมาของแผนพีดีพี (PDP) ฉบับเดิมกว่า 8,000 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วงแรกส่วนใหญ่กลายไปเป็นบิ๊กล็อต แต่ส่วนที่เหลือจะนํามาทําเป็นของภาคประชาชนซึ่งจะประกอบด้วย
โซลาร์ฟาร์มชุมชน 1,500 เมกะวัตต์จากโควต้าของโซลาร์ตามพีดีพีฉบับเดิม 8600 เมกฯ มีการเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว 5,000 เมกฯ และ 2,000 เมกฯ อยู่ระหว่างเซ็นและก็อยู่ระหว่างการเจรจา โดยจะเหลืออีก 1,500 เมกฯ ซึ่งเดิมอาจจะต้องไปเป็นบิ๊กล็อต
แต่ว่าตอนนี้กระทรวงพลังงานจะดึงมาเป็นของภาคประชาชนก็คือเป็นโรงไฟฟ้าชุมชนไม่เกิน 5 เมกฯต่อชุมชน เพราะฉะนั้นก็จะสามารถทําให้เกิดโซลาร์ฟาร์มสําหรับชุมชนได้ถึงอย่างน้อย 300 ชุมชน และมีครัวเรือนที่รับประโยชน์ประมาณ 15,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ
ส่วนอีกโครงการจะเป็นโซลาร์สูบน้ําเพื่อการเกษตร โดยมีเป้าหมายของการอนุมัติโครงการคือ 1,200 แห่ง ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่กว่า 700,000 ไร่ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้กับเกษตรกรในการบริหารจัดการน้ํา
นอกจากนี้ จะมีการเร่งรัดมาตรการลดภาษีโซลาร์ โดยจะไม่ใช่ให้ฟรีทั้งหมด แต่สําหรับครัวเรือนที่มีความต้องการจะติดแผงโซลาร์ ซึ่งจะให้นำค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงไม่เกิน 200,000 บาทมาลดหย่อนภาษีได้ เพื่อกระตุ้นการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในครัวเรือน โดยตั้งเป้าไว้ประมาณ 90,000 ครัวเรือน
โครงการโซลาร์ลอยฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์กันทุกคน โดยมีการทําโครงการไว้อยู่ 3 เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล ,เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ มีกําลังการผลิต 1,638 เมกฯ ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์ลอยฟ้าหลังเขื่อนของ กฟผ. จะเป็นต้นทุนที่ถูกมาก เพราะฉะนั้นนอกจากจะได้ไฟฟ้าสีเขียวก็จะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้า
ภาพรวมโครงการโซลาร์ภาคประชาชนทั้ง 4 โครงการ ก็จะกระจายไปสู่ภาคประชาชนในหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ,เกษตรกร ,ชนชั้นกลางที่ต้องการติดตั้งโซลาร์ และค่าไฟที่ลดลงจากโซลาร์ลอยน้ําหลังเขื่อน
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ยังมีโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบพลังงานสําหรับภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากประเทศไทยกําลังมองหา New S-Curve เพื่อมองหาการลงทุนใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือโครงสร้างของดาต้าเซ็นเตอร์ โครงสร้างของคลาวด์ ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ต้องการพลังงานไฟฟ้าสูงมาก และหลายโครงการระบุว่าต้องการไฟฟ้าสะอาด เพราะฉะนั้นก็จะมี 3 โครงการที่จะช่วยรองรับภาคอุตสาหกรรม ประกอบด้วย
มาตรการการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในรูปแบบการทำสัญญาซื้อขายพลังงานไฟฟ้าได้โดยตรง (Direct PPA) 2,000 เมกะวัตต์ โดยจะเป็นรูปแบบของการให้ผู้ผลิตได้ขายตรงกับผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่ง 2,000 เมกฯดังกล่าวนี้ กําหนดให้เป็นไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งกลุ่มที่จะใช้ก็คือกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ หากโมเดลดังกล่าวสําเร็จเชื่อว่าจะสามารถต่อยอดให้เกิดการซื้อขายโดยตรงไปในอนาคตได้
ความเป็นจริงที่พบก็คือ แม้ว่าโรงไฟฟ้าของไทยทั้งประเทศหลายคนพูดว่ามีกําลังการผลิตเหลือ แต่กลายเป็นว่าในบางพื้นที่ไม่สามารถจ่ายไฟได้ตามความต้องการ โดยเฉพาะพื้นที่อีอีซี (EEC) หรือว่าภาคตะวันออก เพราะว่าโครงการของดาต้าเซ็นเตอร์ โครงการของอุตสาหกรรมใหม่พุ่งเป้าไปตั้งโครงการอยู่ที่พื้นที่นั้น ด้วยความพร้อมในหลายด้าน จึงกลายเป็นว่าพื้นที่ดังกล่าว โครงสร้างพื้นฐาน เช่นสถานีจ่ายไฟฟ้า หรือสายส่งไม่เพียงพอ
จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงมองว่ากระทรวงพลังงานจะเข้าไปเร่งรัดลงทุนสายส่ง (substation) โดยจากการหารือเบื้องต้น เพื่อความรวดเร็วงจะมีการใช้เงินกรอบงบประมาณเดิม ที่ กฟผ. สามารถบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายจากโครงการอื่นอื่น และนำมาทํา ก็จะเป็นควิกบิ๊กวินที่ทำให้ภาคตะวันออกมีไฟฟ้าพอเพียง
นายอรรถพล กล่าวอีกว่า กองทุนอนุรักษ์พลังงานมีความตั้งใจที่จะส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัด ซึ่งเป็นมาตรฐานเพื่อปรับเปลี่ยน (Demand Side Management ซึ่งไม่ค่อยได้มีการกล่าวถึง และที่น่าไปแปลกใจก็คือแม้แต่โรงงานอุตสาหกรรมเองก็ไม่ได้คิดว่ามีเงินส่วนดังกล่าวสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นความตั้งใจก็คือว่าต้องเดินสายโปรโมทกองทุนฯไปตามโรงงานต่างๆ ให้เห็นถึงความสําคัญ ซึ่งจะช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิต ช่วยการปรับปรุงการใช้พลังงาน โดยจะช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงงาน และของประเทศ ซึ่งเป็นการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม
ในส่วนของทางด้านสิ่งแวดล้อมที่ สส. หลายท่านกล่าวถึงนั้น กระทรวงพลังงานจะเป็นกระทรวงหลักอีกหนึ่งกระทรวงที่จะผลักดัน และช่วยให้ประเทศก้าวไปสู่ Net Zero 2050
โดยในช่วง 4 เดือนก็จะประกอบด้วย โครงการโซลาร์ภาคประชาชน ซึ่งนอกจากประชาชนได้ประโยชน์ ก็ยังได้การลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 3.6 ล้านตันต่อปี
อีกโครงการซึ่งก็น่าจะตรงใจโดยเฉพาะนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาชน (ปชน.) ที่กล่าวถึงการเร่งรัดจัดทําแผนพีดีพี ซึ่งก็เป็นความตั้งใจของตนตั้งแต่แรกที่จะก้าวเข้ามาทํางานในตำแหน่ง รมว.พลังงาน
แม้ท่านประธานจัดทำพีดีพีคนเดิมได้ลาออกไปแต่ว่าขนานกันกับตอนก่อนที่ตนจะเข้าไปทํางาน ซึ่งตนได้มีการไปทาบทามประธานท่านใหม่ และจะเร่งจัดตั้งชุดทำแผนพีดีพีใหม่ โดยมีเป้าทำให้เสร็จภายใน 4 เดือน ซึ่งแผนก็ต้องสอดคล้องกับการที่ประเทศไทยจะมุ่งเป้าไปสู่ Net Zero ปี 2050
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งโครงการใหญ่มาก โดยตั้งใจว่าภายใน 4 เดือนจะต้องนับหนึ่ง หรือเริ่มต้นโครงการให้ได้ เนื่องจากมีการกล่าวถึงกันมา 2 ปี แต่ยังไม่สามารถเริ่มต้นได้ คือโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ Carbon Capture and Storage (CCS)
โดยต้องเรียนว่าแม้จะเป็นเป้าเดิม 2050 แต่ก็ต้องมีการช่วยกันหลายภาคส่วน หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้พลังงานสีเขียว การปลูกป่า แต่ทั้งหมดที่ดำเนินการไม่เพียงพอที่ทําให้ไทยก้าวสู่ Net Zero ยังมีคาร์บอนที่หลงเหลือออกมาจากกระบวนการผลิตกระบวนการใช้งานอยู่ดี ดังนั้น โครงการ CCS จึงต้องเกิดให้ได้ คือ การดักจับคาร์บอนเพื่อนำเข้าไปกักเก็บใต้ดิน
ซึ่งในความเป็นจริงประเทศไทยโดยการสํารวจเบื้องต้นด้วยภาพถ่ายผ่านดาวเทียม พบว่าไทยมีพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงห่างออกจากฝั่งไปประมาณ 200 กิโลเมตร แต่จะเดินหน้าได้จะต้องทําการสํารวจในเชิงรายละเอียดขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงจะต้องมีการออกกฎเกณฑ์ต่างๆให้สอดคล้องกับสิ่งที่จะทํา เพราะว่าที่ผ่านมาแหล่งปิโตรเลียมต่างๆมีแต่สูบขึ้น แต่ตอนนี้กําลังหาแหล่งใต้ดินที่สามารถนำคาร์บอนไดออกไซด์อัดเข้าไปเก็บให้ได้
ซึ่งกฎหมาย หรือกฎเกณฑ์ยังไม่มีที่ไหนรองรับ เพราะฉะนั้นประเทศไทยต้องตั้งหลัก เพื่อออกเกณฑ์ดังกล่าวนี้ให้ได้ เพื่อให้ดำเนินการ (implement) ได้เพราะโครงการนี้เป็นโครงการใหญ่มาก มีการลงทุนเป็นแสนล้าน และต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ต้องนับก้าวแรกให้ได้
“ก้าวแรกก็คือ เรามีความร่วมมือกับประเทศญี่ปุ่นที่จะเข้ามาสํารวจพื้นที่กักเก็บใต้ทะเล แต่ว่าแม้การจะนำเรือสํารวจให้ละเอียดขึ้นมากกว่าภาพดาวเทียมก็ยังมีปัญหามากมาย เพราะว่าไม่มีกฎเกณฑ์มารองรับว่าเรือจะเข้ามาสํารวจได้ไหม ต้องมีการขออนุญาตเรื่องระบบศุลกากร ทำให้ 2 ปีนับหนึ่งไม่ได้เสียที ดังนั้นใน 4 เดือน ก็เป็นการตั้งใจที่จะให้โครงการ CCS นับหนึ่งให้ได้เพราะว่าจากนับหนึ่งจะต้องใช้เวลาไปอีก 10 ปี โครงการถึงจะสําเร็จ”
ที่มา : thansettakij