เอสซีจี ประกาศครึ่งปีหลังเร่งเครื่องฝ่าพายุเศรษฐกิจโลก ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโต เคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น
31 กรกฎาคม 2568 – กรุงเทพฯ : เอสซีจี เผยผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2568 ลดลงเกือบหมื่นล้านบาท จากการปรับตัวของทุกธุรกิจ ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร ประเมินเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ครึ่งปีหลัง 2568 ยังท้าทายสูง จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เร่งเครื่องธุรกิจ ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโต พร้อมเคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น ดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ร้อยละ 21 จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง
ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เอสซีจี มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท
• ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาท เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี และ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 105 ล้านบาท
• ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
• ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท
อย่างไรก็ตาม เอสซีจี มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่
ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจี เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน เอสซีจี จึงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงสิงหาคม - ตุลาคม 2568 ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้”
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568