svasdssvasds

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฝันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกคงไม่ไกล

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ฝันเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกคงไม่ไกล

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ - ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไกลเกินเอื้อม หากเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ

ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไกลเกินเอื้อม  หากเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ

36 ปีแห่งการรอคอย ชนะบราซิล ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ -  และแผนแม่บทสู่แชมป์ฟุตบอลโลกของญี่ปุ่น ที่ดูจะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น 

14 ตุลาคม 2025 คือวันที่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลต้องจารึก เมื่อ "ซามูไรบลูส์" ทีมชาติญี่ปุ่น ภายใต้การนำทีม ของ ฮาจิเมะ โมริยาสุ (Hajime Moriyasu)  สามารถล้มยักษ์ใหญ่อย่าง "แซมบ้า" บราซิล ลงได้เป็นครั้งแรก ด้วยสกอร์ 3-2 หลังจากรอคอยมานานถึง 36 ปี 

ชัยชนะครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของโชคช่วย แต่เป็นผลผลิตที่จับต้องได้จากแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว ความกล้าที่จะฝัน และวินัยอันแน่วแน่ที่ผลักดันให้ญี่ปุ่นก้าวจากทีมระดับล่างของเอเชีย สู่ชาติที่สามารถต่อกรได้กับทุกทีมบนเวทีโลก

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ - ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไกลเกินเอื้อม  หากเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ Credit ภาพ AFP
 

สิ้นสุดการรอคอย 36 ปี

นับตั้งแต่การพบกันครั้งแรกในปี 1989 ญี่ปุ่นเผชิญหน้ากับบราซิลมาแล้ว 13 ครั้ง และไม่เคยลิ้มรสคำว่าชัยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว สถิติที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ที่เจ็บปวด ตั้งแต่การแพ้ 0-1 ในนัดแรก ไปจนถึงการพ่ายแพ้ยับเยิน 0-4 หรือ 1-5 แต่แล้วบทประวัติศาสตร์ก็ได้ถูกเขียนขึ้นใหม่ในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ชัยชนะครั้งนี้จึงเป็นมากกว่าแค่ชัยชนะแมตช์ๆหนึ่ง แต่มันคือสัญลักษณ์ของการก้าวข้ามกำแพงที่เคยดูสูงเกินเอื้อม และเป็นเครื่องยืนยันว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินมาตลอดนั้นถูกต้องแล้ว

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ - ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไกลเกินเอื้อม  หากเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ Credit ภาพ AFP

สถิติการพบกันก่อนหน้า:

• 13 นัด: ญี่ปุ่นไม่เคยชนะ (เสมอ 2, แพ้ 11)
• จุดเปลี่ยน: 14 ตุลาคม 2025, ญี่ปุ่น 3-2 บราซิล

ปฏิญญา 2050": เมื่อความฝันถูกวางเป็นแผนที่ 

เบื้องหลังชัยชนะอันหอมหวานและกลายเป็น การจุดไฟฝันให้ลุกโชนในวงการลูกหนัง ครั้งนี้  คือแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวอันน่าทึ่งที่เรียกว่า "ปฏิญญา JFA 2050" ซึ่งสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ปี 2005 แผนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ แต่เป็นแผนแม่บทที่วางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน นั่นคือ การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้ภายในปี 2050

โครงการนี้วางรากฐานการพัฒนาวงการฟุตบอลทั้งระบบ ตั้งแต่การสร้าง "ครอบครัวฟุตบอล" ให้มีแฟนบอลและผู้เกี่ยวข้องถึง 10 ล้านคน ไปจนถึงการยกระดับคุณภาพของลีกในประเทศอย่าง "เจลีก" ให้กลายเป็นบันไดขั้นสำคัญในการพัฒนานักเตะสู่เวทียุโรป ทุกย่างก้าวถูกกำหนดไว้เป็นเป้าหมายย่อยในแต่ละปี เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ญี่ปุ่นชนะบราซิลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ - ไม่มีเป้าหมายไหนที่ไกลเกินเอื้อม  หากเรากล้าที่จะฝันและลงมือทำ Credit ภาพ AFP

เร็วขึ้น 24 ปี : ความทะเยอทะยานใหม่ของเหล่าซามูไร

แม้เป้าหมายเดิมจะอยู่ที่ปี 2050 แต่ด้วยพัฒนาการที่ก้าวกระโดดและความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักเตะรุ่นปัจจุบันเริ่มมองว่าเป้าหมายนั้น "ไกลเกินไป" วาตารุ เอ็นโด กัปตันทีมคนปัจจุบันจากสโมสรลิเวอร์พูล  (แม้จะไม่อยู่ในเกมชนะบราซิล)  แต่ก็เคยพูดจุดประกายแนวคิดใหม่นี้โดยตรงกับ ฮาจิเมะ โมริยาสุ ผู้จัดการทีม ว่าพวกเขาควรตั้งเป้าคว้าแชมป์โลกให้ได้ในฟุตบอลโลก 2026 ที่จะถึงนี้เลย

"ทำไมเราถึงไม่ตั้งเป้าให้ไปถึงจุดสูงสุดเลยล่ะ? ทำไมเราไม่คิดว่าจะเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกตั้งแต่ตอนนี้" วาตารุ เอ็นโด นักเตะทีมชาติญี่ปุ่นของสโมสรลิเวอร์พูล เคยกล่าวเอาไว้ 

แนวคิดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่ จากเดิมที่มองว่าการเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แล้ว  ตอนนี้พวกเขากลับมองว่ามันเป็นเพียงทางผ่านสู่เป้าหมายที่สูงกว่า นั่นคือการเป็น "เบอร์หนึ่งของโลก" ในอนาคต

ผลงานในฟุตบอลโลก ญี่ปุ่น ไป World cup รอบสุดท้ายมาแล้ว 7 ครั้งติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1998 - 2022 และพวกเขาสามารถเอาชนะเยอรมนีในฟุตบอลโลกมาแล้ว 

รากฐานแห่งความสำเร็จ 

ความกล้าที่จะฝันใหญ่ของญี่ปุ่นไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ตั้งอยู่บนรากฐานที่แข็งแกร่งหลายประการ:

  • เจลีก (J.League): การก่อตั้งลีกอาชีพในปี 1993 คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างระบบนิเวศฟุตบอลที่แข็งแกร่ง เป็นเวทีให้นักเตะได้พัฒนาฝีเท้าอย่างเป็นระบบ
  • การส่งออกนักเตะ: สโมสรในญี่ปุ่นสนับสนุนให้นักเตะไปหาความท้าทายในลีกชั้นนำของยุโรปอย่างเต็มที่ ทำให้ปัจจุบันขุมกำลังหลักของทีมชาติล้วนค้าแข้งอยู่กับสโมสรระดับท็อป เช่น คาโอรุ มิโตมะ (ไบรท์ตัน) และ ทาเคฟุสะ คุโบะ (เรอัล โซเซียดาด)
  • ปรัชญาและวัฒนธรรม: แนวคิดอย่าง "โคดาวาริ" (Kodawari) หรือการใฝ่หาความสมบูรณ์แบบ และ "อิคิไก" (Ikigai) หรือการค้นหาเป้าหมายในการมีชีวิต ถูกหลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณของทีม ทำให้พวกเขาไม่เคยหยุดพัฒนาและมุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเสมอ

ชัยชนะเหนือ บราซิล จึงไม่ใช่แค่ผลการแข่งขัน 90 นาที แต่มันคือบทพิสูจน์ที่จับต้องได้ของความพยายามตลอด 36 ปี และเป็นสัญญาณเตือนไปยังทุกชาติทั่วโลกว่า เป้าหมายแชมป์โลกของ "ซามูไรบลูส์" อาจมาถึงเร็วกว่าที่ใครๆ คาดคิดเอาไว้  
.

related