การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ชี้แจง สถานการณ์น้ำในเขื่อนทั่วประเทศ มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น จากอิทธิพลพายุ “เซินติญ” แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ควบคุมได้ พร้อมให้ความมั่นใจว่าทุกเขื่อนมีความแข็งแรง มั่นคง
นายณัฐวุฒิ แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากพายุโซนร้อน “เซินติญ” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรง ส่งผลให้อ่างเก็บน้ำของ กฟผ. หลายแห่งมีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนจุฬาภรณ์ และเขื่อนน้ำพุงมีปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุม แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการการระบายน้ำได้ ขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า เขื่อน กฟผ. ยังสามารถรองรับปริมาณน้ำในช่วงฤดูฝนปีนี้ได้อย่างเพียงพอ และมีความมั่นคงแข็งแรงเนื่องจากมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานสากล
สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อน กฟผ.แต่ละภูมิภาค โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ปกติ ภาคเหนือเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ ,ภาคตะวันตก เขื่อนศรีนครินทร์ , ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนสิรินธร และภาคใต้ เขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง
เขื่อนที่มีปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุม ได้แก่ เขื่อนวชิราลงกรณ เนื่องจากมีฝนตกหนักในลุ่มน้ำด้านเหนืออย่างต่อเนื่อง มีปริมาณน้ำกักเก็บ ร้อยละ 76 ของความจุ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 33 ของความจุ เขื่อนจุฬาภรณ์ มีปริมาณน้ำกักเก็บร้อยละ 65 ของความจุ และเขื่อนน้ำพุง มีปริมาณน้ำกักเก็บ ร้อยละ 35 ของความจุ
รองผู้ว่าการกฟผ. ยืนยันว่า ได้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในเขื่อนอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเขื่อนที่มีปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์ควบคุม จะมีการประสานการระบายน้ำให้เป็นไปตามแผนการระบายน้ำของ
กรมชลประทานและคณะอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนเป็นสำคัญ
โดยการระบายน้ำในแต่ละครั้งจะส่งหนังสือแจ้งให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้นำท้องถิ่น และประกาศแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ให้ทราบล่วงหน้า