กากอ้อย เมื่อของเสียกลายเป็นสินทรัพย์แห่งอนาคตที่ใคร ๆ ก็ต้องการ ของเสียที่ไม่กากนี้ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยอย่างไร?
น้ำตาล รสชาติที่เราคุ้นเคยในทุกวัน รู้ไหมว่า 70-80% ของน้ำตาลทั่วโลกมาจาก "อ้อย" ที่นิยมปลูกในเขตร้อน เช่น บราซิล อินเดีย และไทย
สำหรับประเทศไทย เราคือผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลอันดับ Top 3 ของโลก สร้างรายได้เข้าประเทศนับแสนล้านบาทต่อปี
แต่วันนี้ อุตสาหกรรมไทย ไม่ได้มีดีแค่ความหวานอีกต่อไป เพราะอ้อยกำลังกลายเป็นพืชเศรษฐกิจแห่งอนาคตที่ต่อยอดไปถึง "พลังงานสะอาด" และ "วัสดุชีวภาพ" ได้ด้วย จากสิ่งที่มีชื่อว่า "กากอ้อย"
ทุกครั้งที่โรงงานหีบอ้อยเพื่อทำน้ำตาล เราจะได้ของแถมมาด้วยคือ กากอ้อย จากอ้อย 1 ตัน จะเหลือกากประมาณ 270-300 กิโลกรัม ไทยผลิตอ้อยปีละ 90 ล้านตัน = ได้กากอ้อย 25 ล้านตัน/ปี
โดยกากอ้อยเหล่านี้ โรงงานน้ำตาลได้นำไปต่อยอด ลงทุนแปรรูปของเสีย เปลี่ยนกากอ้อยเป็นพลังงานชีวมวล ช่วยลดต้นทุนและสร้างรายได้เสริมสำหรับโรงงาน
เมื่อกากอ้อย จากเดิมเป็นของเสียไร้ค่า กลับสร้างมูลค่าได้มากขึ้น ชาวไร่จำนวนมากจึงตั้งคำถามว่า "กากอ้อยก็มาจากอ้อยที่เราปลูก แล้วทำไมถึงไม่ได้อะไรเลย" กากอ้อยสร้างมูลค่าได้ ควรนับเป็นผลพลอยได้ที่ชาวไร่ควรได้ส่วนแบ่งเพิ่มหรือไม่?
โรงงานได้ออกมาชี้แจงว่า โรงงานซื้ออ้อยขาดทั้งต้น จากชาวไร่ โดยจ่ายในราคาที่กำหนดแล้วต่อ "น้ำหนักรวมของลำอ้อย" ซึ่งรวมถึงส่วนของต้นอ้อยทั้งหมด ไม่ว่าในท้ายที่สุดจะกลายเป็นน้ำตาลหรือกากอ้อย
เหมือนกับพืชเกษตรอื่น ๆ เช่น ข้าว เมื่อโรงสีรับซื้อข้าวเปลือกมาแล้ว ผลพลอยได้อย่าง "รำ" หรือ "แกลบ" โรงสีก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ต่อได้เอง โดยไม่ต้องแบ่งรายได้กลับไปให้ชาวนา
จากมุมนี้ กากอ้อยจึงถูกมองว่าเป็น วัตถุดิบที่โรงงานเป็นเจ้าของเต็มตัว การแบ่งรายได้เดิมที่แบ่งให้ชาวไร่มากถึง 70% ก็สูงมาเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว แต่ถ้าจะแบ่งรายได้จากกากอ้อยเพิ่ม ก็อาจต้องทบทวนโครงสร้างกันใหม่ทั้งระบบ
โดยอาจต้องนำ 3 ฝ่ายมาหารือร่วมกัน คือ ชาวไร่ผู้ปลูกอ้อย โรงงานผู้ผลิต และภาครัฐในฐานะตัวกลาง และผู้ออกนโยบาย กำกับดูแล เพื่อให้โครงสร้างส่วนแบ่งรายได้ เป็นธรรม โปร่งใส และยั่งยืน
อ้อยไม่ได้ผลิตแค่น้ำตาล อีกบทบาทที่สำคัญมาก ๆ สำหรับสิ่งแวดล้อมไทย คือ วันนี้ อ้อยเป็นพืชเชิงเดี่ยวที่ตอบรับการสนับสนุนช่วยลดฝุ่น PM2.5 ด้วย เพราะเดิมที เกษตรกรผู้ปลูกอ้อย มักเลือกเผาไร่อ้อย เพราะง่ายต่อการเก็บเกี่ยวและมีต้นทุนต่ำกว่าการตัดอ้อยสดมาก
แต่วันนี้สถานการณ์ในไร่อ้อยเปลี่ยนไปแล้ว หลายภาคส่วนช่วยกันสนับสนุนให้เกษตรกรตัดอ้อยสดมากขึ้น ทำให้อากาศสะอาดขึ้น
นอกจากนี้ยังต่อยอดใบอ้อยได้อีก นำไปเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าชีวมวล วัสดุไบโอเบส และพลังงานสะอาด
ดดยปีล่าสุด อ้อยสดในไทยเพิ่มขึ้นเป็น 86% เหลืออ้อยเผาเพียง 14% ซึ่งก็ถือว่าเป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมน้ำตาลไทยยั่งยืนมากขึ้น
วันนี้ ของเสียในอดีต กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่หลายฝ่ายอยากมีส่วนร่วมในค่าตอบแทน คุณล่ะคิดว่า ใครควรเป็นเจ้าของกากอ้อย?