SHORT CUT
ความขัดแย้งระหว่างอินเดียและปากีสถานมีรากเหง้ามาจากการแบ่งประเทศโดยอังกฤษเมื่อปี 1947 บนเส้นฐานศาสนา และปมแคชเมียร์ที่ยังคงเป็นข้อพิพาทเรื้อรังมานานกว่า 78 ปี
เหตุกราดยิงในแคชเมียร์ จุดชนวนให้อินเดียตอบโต้ด้วยการระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ และเปิดฉากยิงมิดไซล์ 9 ลูกเข้าสู่พื้นที่ฝั่งปากีสถาน ทำให้สถานการณ์ทวีความตึงเครียดอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองประเทศมีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครอง รวมถึงมีมหาอำนาจระดับโลกหนุนหลัง ความขัดแย้งจึงอาจลุกลามเป็นสงครามตัวแทน และกระทบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในระดับภูมิภาค
อินเดีย–ปากีสถาน 78 ปีแห่งความขัดแย้ง มรดกจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษสู่ความเสี่ยงสงครามนิวเคลียร์ในศตวรรษที่ 21?
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลอินเดียประกาศเปิดปฏิบัติการ “ซินดูร์” (Sindoor) ยิงมิดไซล์ 9 ลูกเข้าสู่พื้นที่ที่อ้างว่าเป็นฐานของกลุ่มติดอาวุธในฝั่งปากีสถาน เพื่อตอบโต้เหตุกราดยิงนักท่องเที่ยว 26 รายในแคชเมียร์ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
กองทัพปากีสถานออกมาโต้กลับว่า การยิงมิดไซล์ดังกล่าวกระทบพื้นที่พลเรือน และตอบโต้ด้วยการยิงปืนใหญ่ข้ามพรมแดนทันที ทำให้ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองเข้าสู่ระดับที่ทั่วโลกจับตา
แม้ทั้งอินเดียและปากีสถานจะเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษในรูปแบบของ "บริติชอินเดีย" (British India) แต่เมื่ออังกฤษตัดสินใจคืนเอกราชในปี 1947 ความแตกแยกก็เกิดขึ้นทันที
การแบ่งประเทศในครั้งนั้นเป็นไปตามแนวคิดเรื่องศาสนา โดยจัดตั้งประเทศอินเดียขึ้นสำหรับประชากรส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาฮินดู และประเทศปากีสถานขึ้นสำหรับประชากรมุสลิม ซึ่งนำไปสู่การอพยพขนาดใหญ่ของผู้คนกว่า 10 ล้านคน และเหตุการณ์ความรุนแรงตามแนวพรมแดนจำนวนมาก
แคว้นแคชเมียร์ซึ่งตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือ กลายเป็นจุดเปราะบางที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ มหาราชาผู้ปกครองแคชเมียร์ในขณะนั้นแม้นับถือศาสนาฮินดู แต่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เขาเลือกเข้าร่วมกับอินเดีย ส่งผลให้เกิดการสู้รบระหว่างอินเดียกับกลุ่มติดอาวุธที่เชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกับปากีสถาน
สงครามแคชเมียร์ครั้งแรกจบลงด้วยการไกล่เกลี่ยของสหประชาชาติในปี 1948 และมีการแบ่งเขตแคชเมียร์ออกเป็น 3 ส่วน อินเดียควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ ปากีสถานควบคุมบางส่วน และอีกบางพื้นที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน
นับแต่นั้นมา อินเดียและปากีสถานมีประวัติการทำสงครามกันอย่างน้อย 4 ครั้ง ทั้งในปี 1947, 1965, 1971 และ 1999 โดยเฉพาะในปี 1971 ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการแยกตัวของปากีสถานตะวันออกและการก่อตั้งประเทศบังกลาเทศ ภายใต้การสนับสนุนจากอินเดีย
เหตุกราดยิงในแคชเมียร์เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เป็นจุดเริ่มต้นของการปะทะรอบใหม่ แม้อินเดียจะชี้ชัดว่ากลุ่มติดอาวุธดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับปากีสถาน แต่รัฐบาลปากีสถานปฏิเสธความเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิง
อินเดียเลือกตอบโต้ด้วยมาตรการที่ไม่เคยใช้มาก่อน นั่นคือการระงับสนธิสัญญาแม่น้ำสินธุ ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 1960 แม่น้ำสินธุเป็นแหล่งน้ำจืดสายหลักที่ไหลจากแคชเมียร์เข้าสู่ปากีสถาน และเป็นแหล่งน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภคของประชากรกว่า 80% ของประเทศ
นักวิเคราะห์หลายคนชี้ว่า การนำทรัพยากรน้ำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองระหว่างประเทศในครั้งนี้ เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าการใช้กำลังทางทหาร
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศในครั้งนี้รุนแรงกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากทั้งอินเดียและปากีสถานต่างมีศักยภาพในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ โดยจากรายงานของสถาบัน SIPRI ในปี 2024 ปากีสถานครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 170 หัวรบ และอินเดียมีประมาณ 164 หัวรบ ซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 6 และ 7 ของโลก
ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศเคยมีการข่มขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในการตอบโต้กันหลายครั้ง แม้ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อและการปะทะที่ยกระดับอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเตือนว่า เอเชียใต้อาจกลายเป็น "จุดเปราะบาง" ที่อันตรายที่สุดในภูมิภาค
ที่น่าจับตาอีกประการคือ ความเกี่ยวโยงกับมหาอำนาจระดับโลก
จีนมีบทบาทในฐานะพันธมิตรใกล้ชิดของปากีสถาน ขณะที่อินเดียมีความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์กับสหรัฐอเมริกา
หากสถานการณ์ยืดเยื้อจนกลายเป็นสงครามตัวแทน ผลกระทบจะไม่จำกัดอยู่แค่สองประเทศ
ความขัดแย้งในเอเชียใต้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
หากเกิดสงครามเต็มรูปแบบ การค้าโลกอาจหยุดชะงัก เส้นทางพลังงานและวัตถุดิบในภูมิภาคจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ราคาน้ำมัน อาหาร และสินค้าหลายชนิดจะผันผวน
หากมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์ แม้ในระดับจำกัด ผลกระทบทั้งทางสิ่งแวดล้อม มนุษยธรรม และเศรษฐกิจจะขยายวงกว้างอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ง่าย
โลกจึงกำลังจับตาสถานการณ์ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด และตั้งคำถามว่า ความขัดแย้งที่สั่งสมมาตลอด 78 ปี จะนำไปสู่ทางออก หรือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤตที่ใหญ่กว่านั้นอีกครั้ง