svasdssvasds

น้องเมยตายเพราะขึ้นบันไดผิด? เปิดปม "บันไดศักดินา" เตรียมทหารฯ

ศาลทหารพิพากษารอลงอาญา รุ่นพี่สั่งซ่อม "น้องเมย" จนเสียชีวิต ย้อนโศกนาฏกรรม 8 ปี จากบันไดต้องห้าม สู่คำถามถึงความยุติธรรมที่ยังก้องดัง

SHORT CUT

  • ศาลทหารสั่งจำคุกรุ่นพี่ 4 เดือน ปรับ 1.5 หมื่น แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี คดี "น้องเมย"

  • ชนวนเหตุเกิดจาก "น้องเมย" ใช้บันไดกลางที่ห้าม นร.ปี 1 ใช้ นำสู่การธำรงวินัยรุนแรง

  • ครอบครัวยังคงต่อสู้เพื่อล้างมลทินให้ลูกชายที่ถูกกล่าวหาว่า "โกหก" เรื่องได้รับอนุญาต

ศาลทหารพิพากษารอลงอาญา รุ่นพี่สั่งซ่อม "น้องเมย" จนเสียชีวิต ย้อนโศกนาฏกรรม 8 ปี จากบันไดต้องห้าม สู่คำถามถึงความยุติธรรมที่ยังก้องดัง

เพราะใช้บันไดผิด ต้องมีโทษถึงตาย? 

นี่คือคำถามที่ยังคงก้องอยู่ในใจของสังคมไทยทุกครั้งที่คดีของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ "น้องเมย" ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง ตลอด 8 ปีที่ครอบครัวตัญกาญจน์ต่อสู้เพื่อทวงความยุติธรรมให้ลูกชายผู้ล่วงลับ  

ล่าสุด ศาลทหารได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคำตอบที่ได้รับกลับยิ่งสร้างคำถามใหม่ให้กับสังคม

ศาลทหารมณฑลทหารบกที่ 12 จังหวัดปราจีนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาชั้นฎีกา สั่งลงโทษจำเลยซึ่งเป็นรุ่นพี่นักเรียนเตรียมทหารที่สั่งลงโทษน้องเมยในขณะนั้น โดยให้ 

จำคุก 4 เดือน 16 วัน ปรับ 15,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี เหตุผลของศาลคือจำเลยไม่เคยได้รับโทษมาก่อน การให้โอกาสปรับปรุงตัวเพื่อรับใช้ชาติต่อไปน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า  ทว่า สำหรับครอบครัวที่สูญเสียแก้วตาดวงใจ คำตัดสินนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ความยุติธรรม"
 

จุดเริ่มต้นโศกนาฏกรรม: วัฒนธรรม "บันไดต้องห้าม"


หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่าต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เริ่มต้นจากเรื่องที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยอย่าง "การใช้บันไดในตึกนอน"

ภายในโรงเรียนเตรียมทหารมีกฎเหล็กและวัฒนธรรมที่ยึดถือกันอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับเรื่องนี้  จากข้อมูลของอดีตนักเรียนเตรียมทหารระบุว่า

  • บันไดกลาง: สงวนไว้สำหรับนักเรียนบังคับบัญชา (คอมแมน) และนายทหารที่ยศสูงกว่าเท่านั้น นักเรียนทั่วไปห้ามใช้เด็ดขาด 
  • นักเรียนชั้นปีที่ 1: ถูกบังคับให้ใช้ได้เพียงบันไดฝั่งขวาของตึกเท่านั้น โดยมีข้อยกเว้นเดียวคือเมื่อต้องทำเวรทำความสะอาด 

การที่น้องเมยซึ่งเป็นนักเรียนปี 1 ไปปรากฏตัวที่บันไดซ้าย จึงกลายเป็นการกระทำผิดร้ายแรงในสายตาของรุ่นพี่ และเป็นชนวนเหตุของการ "ซ่อมเดี่ยว" หรือการธำรงวินัยที่รุนแรง 

"ใครโกหก?" ปมขัดแย้งที่ยังไม่คลี่คลาย

ประเด็นที่ครอบครัวต่อสู้มาโดยตลอดคือ น้องเมยไม่ได้โกหก เอกสารคำให้การที่พี่สาวของน้องเมยนำมาเปิดเผย แสดงให้เห็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง 

  • คำให้การของจำเลย (ผู้สั่งลงโทษ): อ้างว่าน้องเมยบอกว่าได้รับอนุญาตจากรุ่นพี่คอมแมนอีกคน (นตท.รชต) แล้ว แต่เมื่อไปสอบถาม นตท.รชต กลับตอบว่า "ไม่ได้อนุญาต" 
  • คำให้การของ นตท.รชต: กลับยืนยันว่าตนได้ตอบรุ่นพี่ที่มาถามไปว่า "ไม่โกหก...ได้อนุญาตแล้ว" 

คำให้การที่เหมือนหนังคนละม้วนนี้ คือหัวใจสำคัญของคดี เพราะความเชื่อว่า "น้องโกหก" นำไปสู่การลงโทษด้วยท่า "แคงการู" (เอาศีรษะปักพื้นแล้วสลับขา) จนหมดสติและเสียชีวิตในเวลาต่อมา 

 

กฎโรงเรียน vs กฎหมายรัฐ: อะไรสำคัญกว่ากัน?

สำหรับครอบครัว การต่อสู้ตลอด 8 ปีไม่ใช่เพียงการหาคนผิด แต่คือการ "ล้างมลทิน" ให้กับลูกชายที่ถูกตราหน้าว่าเป็น "คนขี้โกหก" ดังที่พี่สาวได้กล่าวไว้ว่า 

"โกหกใครโกหกได้ แต่ใจเราโกหกตัวเองไม่ได้" 

คดีนี้ยังทิ้งคำถามใหญ่ไว้ให้สังคม ว่าระหว่าง "กฎภายใน" ของสถาบันที่ถือว่าการโกหกเป็นความผิดร้ายแรง กับ "กฎหมายบ้านเมือง" ที่ระบุว่าการกระทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเป็นความผิดอาญาที่ร้ายแรงกว่า สิ่งใดควรมีน้ำหนักเหนือกว่ากัน 

โศกนาฏกรรมของน้องเมย ทำให้สังคมต้องหันกลับมาตั้งคำถามถึงวัฒนธรรมอำนาจนิยมและการใช้ความรุนแรงในสถาบัน ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ชอบธรรมแล้วหรือไม่

หรือแท้จริงแล้ว กองทัพและโรงเรียนเตรียมทหารคือ "แดนสนธยา" ที่ความยุติธรรมของรัฐอาจเข้าไปไม่ถึง 

related