SHORT CUT
รมว.กลาโหม สวีเดน ยืนยันความสัมพันธ์กับไทยแน่นแฟ้น หลังลงนามซื้อกริพเพน พร้อมเยี่ยมสำนักงานใหญ่ ชมนวัตกรรมด้านความมั่นคง ขณะ CEO Saab เผยเล็งตั้งศูนย์วิจัยในไทย
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางไปยังสำนักงานใหญ่ Saab AB ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินขับไล่ Gripen โดยมี นาย Micael Johansson ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Saab AB พร้อมคณะผู้บริหารและการต้อนรับ พาเยี่ยมชม นวัตกรรมเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ของ Saab AB ภายหลังที่ไทย มีการลงนาม จัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 ร่วมกับสวีเดนเรียบร้อยแล้ว พร้อมบรรยายถึง ศักยภาพของ Gripen E/F ที่มีความทันสมัย มีขีดความสามารถที่สูง คุณสมบัติที่โดดเด่นของ Gripen E/F คือ เรดาร์ AESA (Active Electronically Scanned Array) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเรดาร์ที่ช่วยให้สามารถตรวจจับเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น มีความสามารถในการป้องกันการรบกวน และสามารถมองเห็นและติดตามเป้าหมายได้พร้อมกันหลายเป้าหมาย ขณะที่ความสามารถในการบรรทุกอาวุธมีการเพิ่มจุดติดตั้งอาวุธ 10 จุด ทำให้สามารถบรรทุกอาวุธได้หลากหลายมากขึ้น
นอกจาก Gripen แล้ว บ.Saab AB ยังมีผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีความมั่นคง หลายชนิด ทั้งอากาศยานไร้คนขับ (UAV), เรือดำน้ำที่มีระบบขับเคลื่อนที่ไม่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ และระบบความมั่นคงทั้งความปลอดภัยสาธารณะ และความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย
นายมิคาเอล โยฮันสัน (Micael Johansson) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Saab AB ให้สัมภาษณ์ถึงประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่โจมตีกริพเพนครั้งนี้ (Offset Policy) ว่า โครงการความร่วมมือในเฟสแรกจะเน้นไปที่การถ่ายโอนเทคโนโลยีและความรู้เกี่ยวกับการเชื่อมโยงระบบต่างๆ (Link Capability) เพื่อให้สามารถเชื่อมต่อแพลตฟอร์มต่างๆ ของไทยได้ ไม่ว่าจะเป็นเรือรบ, เครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ (Airborne Early Warning) และเครื่องบินขับไล่กริพเพน (Gripen Fighter)
นายมิคาเอลกล่าวว่า การทำงานร่วมกันกับบุคลากรในอุตสาหกรรมและกองทัพอากาศไทยในการขยายขีดความสามารถและสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตนรู้สึกประทับใจอย่างมากกับแนวทางการทำงานของไทยและคิดว่าสวีเดนสามารถเรียนรู้จากไทยได้
นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในเรื่อง การซ่อมบำรุงอากาศยาน, การอัปเกรดขีดความสามารถของเครื่องบินเตือนภัยทางอากาศ ตลอดจนด้านการศึกษา เพื่อให้วิศวกรไทยได้มีโอกาสไปเรียนรู้งานด้านการบินและอวกาศในสวีเดน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต จะมีการตั้งสำนักงานวิจัยและพัฒนา Saab R&D Office ในไทย ซึ่งจะพัฒนาสามารถวิศวกรไทยในการพัฒนาซอฟต์แวร์ของตัวเองเพื่อติดตั้งในเครื่องบินได้ เนื่องจากเครื่องบินของ Saab ถูกออกแบบมาให้ผู้ใช้งานสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มเติมได้เอง รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI ทั้งหมดนี้ถือเป็นความร่วมมือในระยะยาว ระหว่าง Saab กับ ไทย
ดร.พอล ยอนสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสวีเดน ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสวีเดนและไทย โดยย้ำถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหลังการลงนามในสัญญาความร่วมมือฉบับล่าสุด พร้อมแสดงความเห็นต่อกรณีการใช้เครื่องบินขับไล่กริพเพนในสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่ผ่านมา
ดร. ยอนสันกล่าวว่า "สิ่งนี้ (สัญญาฉบับล่าสุด) ทำให้ความร่วมมือทวิภาคีระหว่างสวีเดนและไทยลึกซึ้งยิ่งขึ้น และผมภูมิใจมากที่เรามีคนไทยจำนวนมากอาศัยอยู่ในสวีเดนกว่า 80,000 คน และมีชาวสวีเดนกว่า 200,000 คนเดินทางมาประเทศไทยทุกปี ดังนั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่เราจะกระชับความร่วมมือด้านกลาโหมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น"
รัฐมนตรีกลาโหมสวีเดน ยังชี้ให้เห็นว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยในวงกว้าง นอกเหนือจากมิติด้านความมั่นคง โดยกล่าวว่า "ผมคิดว่าความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์ต่อภาคส่วนที่กว้างขวางขึ้นของสังคมไทยด้วย เพราะแพ็คเกจชดเชยจาก Saab (บริษัทผู้ผลิตกริพเพน) จะหมายถึงการลงทุนในด้านการศึกษา การวิจัยและพัฒนา และภาคเกษตรกรรมของไทย"
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงผลกระทบจากการที่ไทยนำเครื่องบินขับไล่กริพเพนเข้าปฏิบัติการในช่วงความขัดแย้งกับกัมพูชา ดร. ยอนสันได้ตอบอย่างชัดเจนว่า "คุณ (ประเทศไทย) มีสิทธิ์ใช้กริพเพนตามกฎหมายระหว่างประเทศเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง แน่นอนว่านั่นเป็นทางเลือกของคุณ ตราบเท่าที่คุณใช้มันตามกฎบัตรสหประชาชาติและตามกฎหมายระหว่างประเทศ"
นอกจากนี้ ดร.ยอนสันยังได้แสดงความเห็นว่าทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างมีความพยายามที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ และยินดีที่มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการร่วมและมีผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนเข้ามามีบทบาท ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของประชาชนทั้งสองชาติ
"แน่นอนว่าประเทศไทยก็เหมือนกับประเทศอื่นๆ มีสิทธิ์ในการป้องกันตนเอง และเราเคารพในสิ่งนั้น" ดร. ยอนสัน กล่าว
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าหารือทวิภาคีและร่วมลงนามเอกสาร Sweden - Thailand Strategic Partnership เพื่อยกระดับความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรสวีเดน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน การป้องกันประเทศ และนวัตกรรม ร่วมกับนาง Maria Malmer Stenergard รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสวีเดน
ทั้งนี้ความสัมพันธ์ไทย-สวีเดนมีความแน่นแฟ้นและยาวนานกว่า 157 ปี ตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2411 ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ทั้งสองประเทศเป็นมิตรที่ดีต่อกัน มีความร่วมมือในหลายระดับ ทั้งระดับราชวงศ์ ประชาชน และภาครัฐ
การร่วมมือกับสวีเดน Joint and Research Development เป็นอีกสาขาที่จะทำให้เราเข้าใจตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างการศึกษา การพัฒนาความสามารถด้านการผลิต การวางโครงสร้างด้านวิศวกรรม ปรับปรุงโครงสร้างด้านธุรกิจ การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
นายมาริษเชื่อว่าประเทศในกลุ่มนอร์ดิกเห็นไทยเป็นจุดเชื่อมต่อเพื่อเชื่อมร้อยทุกประเทศเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะโลกตะวันตกและโลกตะวันออก รวมไปถึงไทยในบทบาทของการเชื่อมกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาให้มีบทบาทมากขึ้นในการกำหนดบทบาทใหม่ของตนเองในโลก
รับชมเพิ่มเติม