svasdssvasds

เกิดอะไรขึ้นที่เนปาล? สรุปม็อบ Gen Z จาก #NepoKids สู่จลาจล

จากกระแส #NepoKids เทรนด์เปิดโปงชีวิตหรูลูกนักการเมือง สู่ฟางเส้นสุดท้าย “แบนโซเชี่ยลมีเดีย” ปมจุดม็อบ Gen Z เนปาลลุกฮือเผาทำเนียบ โค่นรัฐบาล ลามเป็นจราจลทั้งเมือง!

SHORT CUT

  • การประท้วงเริ่มต้นจากแฮชแท็ก #NepoKids ที่คนรุ่นใหม่ในเนปาลใช้เปิดโปงชีวิตหรูหราของลูกหลานนักการเมืองและชนชั้นนำ เพื่อตั้งคำถามถึงความเหลื่อมล้ำและการคอร์รัปชัน
  • รัฐบาลเลือกแก้ปัญหาด้วยการสั่งแบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความไม่พอใจจากโลกออนไลน์บานปลายเป็นเหตุจลาจลรุนแรงบนท้องถนน
  • สถานการณ์ลุกลามจนเกิดความรุนแรง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ นำไปสู่การเผาอาคารรัฐสภา และจบลงด้วยการลาออกของนายกรัฐมนตรี ทำให้เนปาลเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมือง

จากกระแส #NepoKids เทรนด์เปิดโปงชีวิตหรูลูกนักการเมือง สู่ฟางเส้นสุดท้าย “แบนโซเชี่ยลมีเดีย” ปมจุดม็อบ Gen Z เนปาลลุกฮือเผาทำเนียบ โค่นรัฐบาล ลามเป็นจราจลทั้งเมือง!

เผาทำเนียบ เผาสภา คนเนปาลโกรธอะไรรัฐบาล

บาดแผลจากความเหลื่อมล้ำ ชีวิตดีๆของ อีลีท ลูกนักการเมืองที่ห่างชั้นกับคนธรรมดามากจนเจ็บปวด สู่การแก้ปัญหาแบนโซเชี่ยล ฟางเส้นสุดท้ายทำคนรุ่นใหม่ไม่ทน

ก่อนที่ไฟจะลามไปทั่วเมือง มันเริ่มจากไฟกองเล็กๆ ในโซเชียลมีเดียเนปาลครับ กับเทรนด์แฮชแท็กที่ชื่อว่า #NepoKids

คนรุ่นใหม่เนปาลออกมาแฉชีวิตสุดหรูของลูกหลานนักการเมืองและชนชั้นนำ ตั้งคำถามว่าพวกเขาเอาเงินมาจากไหน? ท่ามกลางความยากจนของคนทั้งประเทศ

เทรนด์นี้กลายเป็นไวรัล สร้างความอับอายและสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอย่างหนักครับ และแทนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พวกเขากลับเลือกวิธีการ "แบนแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย"

4 กันยายน 2568 รัฐบาลเนปาลประกาศแบนโซเชียลมีเดีย 26 รายการ โดยอ้างว่าไม่มาลงทะเบียนต่อรัฐตามกฎ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือความต้องการปิดปากคนรุ่นใหม่

 

นี่กลายเป็นความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ เพราะมันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความโกรธที่อยู่แค่ในออนไลน์ ระเบิดออกมาบนท้องถนนจริงๆ

ผู้ชุมนุมไม่ได้เรียกร้องแค่ให้รัฐบาลลาออก แต่ยังเรียกร้องเชิงโครงสร้างด้วย คือ "การปฏิรูปการเมือง " และ "การตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง" พวกเขาต้องการการเปลี่ยนระบบ

สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็ว ตำรวจปราบจลาจลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และที่เลวร้ายที่สุดคือ "กระสุนจริง"

รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศยืนยันว่า การปะทะในวันแรกวันเดียว มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ภาพความรุนแรงนี้ได้เปลี่ยนม็อบของคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นการลุกฮือของคนทั้งประเทศครับ

เมื่อมีคนตาย คนเจนอื่นๆ ที่เคยเงียบก็ไม่ทนอีกต่อไป ประชาชนทุกวัยออกมาสมทบกับคนรุ่นใหม่ ข้อเรียกร้องขยับจากการต้านแบนโซเชียล ไปสู่การเปลี่ยนระบบ การขับไล่รัฐบาล

 

ความโกรธแค้นของผู้คนพุ่งถึงขีดสุด นำไปสู่การบุกเผาอาคารรัฐสภา, ที่ทำการของพรรคการเมือง และบ้านพักของนักการเมืองหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีภาพการรุมทำร้ายนักการเมือง อีลีทในสังคมเนปาลด้วย

แรงกดดันมหาศาลทำให้รัฐบาลไปต่อไม่ไหว รัฐมนตรีทยอยลาออก และในที่สุด 9 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้เนปาลเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที

นี่คือวิกฤตหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเนปาล เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐในปี 2008 แต่ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา การเมืองไร้เสถียรภาพอย่างหนัก มีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นว่าเล่น เปลี่ยนนายกฯ มาแล้วมากกว่า 10 คน!

GDP เนปาลโตผันผวนมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บางปีโตพุ่งเพราะทุนจากต่างชาติ บางปีติดลบหรือโตต่ำมากจากวิกฤติ เช่น ภัยธรรมชาติ หรือการเมืองที่สั่นคลอน สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ

รายงาน "ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน" ชี้ว่าเนปาลมีการคอร์รัปชั่นสูงอยู่ในอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก

นอกจากนั้น Oxfam (อ็อกซ์แฟม) ยังรายงานว่า คนรวยสุด 10% ของเนปาล มีทรัพย์สินมากกว่าคนจน 40% ถึง 26 เท่า สะท้อนความเหลื่อมล้ำขั้นรุนแรง

ปัญหาคอร์รัปชันฝังรากลึก ระบบอุปถัมภ์ทำให้คนเก่งไม่มีที่ยืน โอกาสถูกผูกขาดไว้กับชนชั้นนำ สิ่งเหล่านี้กดทับคนธรรมดามาตลอด รอวันระเบิด

นี่เป็นบทเรียนชั้นดีให้นักการเมืองทั่วโลก เห็นถึงพิษภัยของความเหลื่อมล้ำ การคิดถึงผลประโยชน์พวกพ้องของชนชั้นนำ ภัยอาจไม่ถึงตัวพวกท่านในวันนี้ แต่วันหนึ่งที่สังคมเดินไปถึงจุดแตกหัก...ท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกเลย

related