SHORT CUT
จากกระแส #NepoKids เทรนด์เปิดโปงชีวิตหรูลูกนักการเมือง สู่ฟางเส้นสุดท้าย “แบนโซเชี่ยลมีเดีย” ปมจุดม็อบ Gen Z เนปาลลุกฮือเผาทำเนียบ โค่นรัฐบาล ลามเป็นจราจลทั้งเมือง!
บาดแผลจากความเหลื่อมล้ำ ชีวิตดีๆของ อีลีท ลูกนักการเมืองที่ห่างชั้นกับคนธรรมดามากจนเจ็บปวด สู่การแก้ปัญหาแบนโซเชี่ยล ฟางเส้นสุดท้ายทำคนรุ่นใหม่ไม่ทน
ก่อนที่ไฟจะลามไปทั่วเมือง มันเริ่มจากไฟกองเล็กๆ ในโซเชียลมีเดียเนปาลครับ กับเทรนด์แฮชแท็กที่ชื่อว่า #NepoKids |
คนรุ่นใหม่เนปาลออกมาแฉชีวิตสุดหรูของลูกหลานนักการเมืองและชนชั้นนำ ตั้งคำถามว่าพวกเขาเอาเงินมาจากไหน? ท่ามกลางความยากจนของคนทั้งประเทศ |
เทรนด์นี้กลายเป็นไวรัล สร้างความอับอายและสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอย่างหนักครับ และแทนที่จะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พวกเขากลับเลือกวิธีการ "แบนแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดีย" 4 กันยายน 2568 รัฐบาลเนปาลประกาศแบนโซเชียลมีเดีย 26 รายการ โดยอ้างว่าไม่มาลงทะเบียนต่อรัฐตามกฎ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือความต้องการปิดปากคนรุ่นใหม่ |
นี่กลายเป็นความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ เพราะมันคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ความโกรธที่อยู่แค่ในออนไลน์ ระเบิดออกมาบนท้องถนนจริงๆ |
ผู้ชุมนุมไม่ได้เรียกร้องแค่ให้รัฐบาลลาออก แต่ยังเรียกร้องเชิงโครงสร้างด้วย คือ "การปฏิรูปการเมือง " และ "การตรวจสอบปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง" พวกเขาต้องการการเปลี่ยนระบบ |
สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็ว ตำรวจปราบจลาจลใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ทั้งแก๊สน้ำตา กระสุนยาง และที่เลวร้ายที่สุดคือ "กระสุนจริง" |
รายงานจากสำนักข่าวต่างประเทศยืนยันว่า การปะทะในวันแรกวันเดียว มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 ราย บาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ภาพความรุนแรงนี้ได้เปลี่ยนม็อบของคนรุ่นใหม่ ให้กลายเป็นการลุกฮือของคนทั้งประเทศครับ |
เมื่อมีคนตาย คนเจนอื่นๆ ที่เคยเงียบก็ไม่ทนอีกต่อไป ประชาชนทุกวัยออกมาสมทบกับคนรุ่นใหม่ ข้อเรียกร้องขยับจากการต้านแบนโซเชียล ไปสู่การเปลี่ยนระบบ การขับไล่รัฐบาล
|
ความโกรธแค้นของผู้คนพุ่งถึงขีดสุด นำไปสู่การบุกเผาอาคารรัฐสภา, ที่ทำการของพรรคการเมือง และบ้านพักของนักการเมืองหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีภาพการรุมทำร้ายนักการเมือง อีลีทในสังคมเนปาลด้วย |
แรงกดดันมหาศาลทำให้รัฐบาลไปต่อไม่ไหว รัฐมนตรีทยอยลาออก และในที่สุด 9 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรีก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ทำให้เนปาลเข้าสู่ภาวะสุญญากาศทางการเมืองทันที |
นี่คือวิกฤตหนึ่งที่เกิดขึ้นหลังจากเนปาล เปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบกษัตริย์ เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐในปี 2008 แต่ตลอด 17 ปีที่ผ่านมา การเมืองไร้เสถียรภาพอย่างหนัก มีการเปลี่ยนรัฐบาลเป็นว่าเล่น เปลี่ยนนายกฯ มาแล้วมากกว่า 10 คน! |
GDP เนปาลโตผันผวนมากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา บางปีโตพุ่งเพราะทุนจากต่างชาติ บางปีติดลบหรือโตต่ำมากจากวิกฤติ เช่น ภัยธรรมชาติ หรือการเมืองที่สั่นคลอน สะท้อนความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ |
รายงาน "ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน" ชี้ว่าเนปาลมีการคอร์รัปชั่นสูงอยู่ในอันดับที่ 107 จาก 180 ประเทศทั่วโลก |
นอกจากนั้น Oxfam (อ็อกซ์แฟม) ยังรายงานว่า คนรวยสุด 10% ของเนปาล มีทรัพย์สินมากกว่าคนจน 40% ถึง 26 เท่า สะท้อนความเหลื่อมล้ำขั้นรุนแรง |
ปัญหาคอร์รัปชันฝังรากลึก ระบบอุปถัมภ์ทำให้คนเก่งไม่มีที่ยืน โอกาสถูกผูกขาดไว้กับชนชั้นนำ สิ่งเหล่านี้กดทับคนธรรมดามาตลอด รอวันระเบิด |
นี่เป็นบทเรียนชั้นดีให้นักการเมืองทั่วโลก เห็นถึงพิษภัยของความเหลื่อมล้ำ การคิดถึงผลประโยชน์พวกพ้องของชนชั้นนำ ภัยอาจไม่ถึงตัวพวกท่านในวันนี้ แต่วันหนึ่งที่สังคมเดินไปถึงจุดแตกหัก...ท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกเลย |