svasdssvasds

สถานทูตเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าว 7 นักการเมืองไทยเอี่ยวคอลเซ็นเตอร์

สถานทูตเกาหลีใต้ปฏิเสธข่าว 7 นักการเมืองไทยเอี่ยวคอลเซ็นเตอร์

‘สถานทูตเกาหลีใต้’ ปฏิเสธข่าวนายกฯ เปิดเผยชื่อ 7 นักการเมืองไทยพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ยืนยัน ข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริง”

SHORT CUT

  • สถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์ปฏิเสธข่าวลือที่ว่านายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เปิดเผยรายชื่อนักการเมืองไทย 7 คนพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริงและไม่มีมูล
  • รัฐบาลเกาหลีใต้แสดงความเสียใจต่อการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และเตรียมดำเนินมาตรการที่จำเป็นรวมถึงการดำเนินการทางกฎหมายต่อข่าวปลอมดังกล่าว
  • ข่าวลือนี้เริ่มต้นจากเพจเฟซบุ๊กในไทย ซึ่งทำให้นายกรัฐมนตรีไทยสั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริง

‘สถานทูตเกาหลีใต้’ ปฏิเสธข่าวนายกฯ เปิดเผยชื่อ 7 นักการเมืองไทยพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา ยืนยัน ข่าวดังกล่าว “ไม่เป็นความจริง”

เฟซบุ๊กแฟนเพจของสถานทูตเกาหลีใต้ประจำประเทศไทย (Embassy of the Republic of Korea in Thailand) ได้เผยแพร่ข้อความเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 68 ชี้แจงกรณีข่าวลือ7 นักการเมืองไทยพัวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของกัมพูชา ระบุถึงบทความจากสำนักของไทยที่รายงานว่า " 'นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้เปิดเผยถึง นักการเมืองไทย 7 คนที่พัวพันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา'

รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีขอชี้แจงว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวนั้นไม่เป็นความจริงและไม่มีมูล นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลีไม่เคยกล่าวถ้อยคำในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด

รัฐบาลสาธารณรัฐเกาหลีขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งต่อการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเช่นนี้ สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยจะดำเนินมาตราการตามความจำเป็น รวมถึงมาตราการทางกฎหมาย ต่อข่าวปลอมดังกล่าว "

 

เพจดังชี้เป้าจุดกระแสข่าวลือ


การชี้แจงครั้งนี้มีขึ้นหลังก่อนหน้านี้เพจ "ท่านเปา" ได้โพสต์ข้อความเมื่อเวลา 01.23 น. วันที่ 19 ต.ค. 68 ระบุว่า "เดือด! นายกฯ เกาหลีใต้เผยรายชื่อนักการเมืองไทย 7 ราย พัวพันเอี่ยวแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชา ตอนนี้รายชื่อทั้งหมดอยู่ในมือนักข่าวแล้ว..." ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง

นายกฯ สั่งตรวจสอบข้อเท็จจริง


ต่อมา นาย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีกระแสข่าวลือดังกล่าว เผยว่าตนได้มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศและทีมงาน ดำเนินการสืบหาข้อเท็จจริง หากมีรายชื่อมาก็จะดำเนินการตรวจสอบ และหากมีหลักฐานใดที่ชี้ถึงการกระทำผิดกฏหมาย ก็จะดำเนินคดีโดยไม่มีข้อยกเว้น พร้อมย้ำว่าอย่ากังวลเรื่องนี้

ส่วนข้อมูลจากทางประธานาธิบดีเกาหลีใต้นั้น นายอนุทินกล่าวว่าในการหารือระหว่างสองผู้นำเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีการพูดคุยกันถึงประเด็นดังกล่าว เนื่องจากกระแสข่าวเริ่มต้นที่เพจดังของไทย จึงต้องดำเนินการตรวจสอบจากจุดเริ่มต้นให้เรียบร้อยก่อน หากมการเปิดเผยชื่อหรือพบหลักฐานเพิ่มเติม จึจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป

คนไทยต่อต้าน "สแกมเมอร์"


ข่าวลือและการชี้แจงดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางกระแสการต่อต้านขบวนการสแกมเมอร์ ซึ่งมีคนไทยตกเป็นเหยื่อและสูญเสียทรัพย์สินจำนวนมาก รวมถึงเหยื่อที่ถูกหลอกให้ไปทำงานในกัมพูชาด้วย

ล่าสุด นายจารุวัฒน์ จิณห์มรรคา รองประธานมูลนิธิอิมมานูเอล เปิดเผยว่า  มีคนไทยหนีจากแก๊งสแกมเมอร์ในกัมพูชากว่า 70 คน ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในระหว่างการกวาดล้างอย่าเข้มงวดของหลายชาติ

อย่างไรก็ตาม เครือข่ายสแกมเมอร์ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเติบโตไปมากกว่า 10 เท่าในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าปัจจุบันมีพิกัดมากกว่า 51 แห่ง ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และชายแดนกัมพูชา-เวียดนาม

นักการเมืองจุดประเด็น ขบวนการสแกมเมอร์


ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน คือหนึ่งในผู้ที่ออกมาจุดประเด็นถึงความเกี่ยวข้องระหว่างนักการเมืองหรือนักธุรกิจชื่อดังที่เชื่อมโยงกับขบวนการคอลเซนเตอร์หรือแก๊งสแกมเมอร์ข้ามชาติ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชา

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 68 นายรังสิมันต์ยังโพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า ตอนนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญกับเรื่องสแกมเมอร์เป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับ ว่าความเคลื่อนไหวของประเทศไทยกลับตามหลังประเทศอื่นๆอย่างมีนัยยะสำคัญ และมองว่าความเคลื่อนไหวของนายกฯ ในการปราบปรามอาจเป็นเพียงการซื้อเวลา ทั้งยังเสนเอให้ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรมเผ่า ออกจากการเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวเกษตรและสหกรณ์ โดยอ้างว่ามีส่วนพัวพันกับบุคคลเฝ้าระวังที่อาจเชื่อมโยงกับขบวนการสแกมเมอร์ในกัมพูชาด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของ 7 นักการเมืองไทย ที่มีกระแสข่าวลือว่าพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชานั้น จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครสามารถยืนยันรายชื่อหรือเปิดเผยหลักฐานได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางกระแสกดดันจากหลายฝ่ายที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรและผู้ที่เกี่ยวข้อง เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุด