สาวกู้ภัยช้ำ เขียนจดหมาย อัดคลิปซดน้ำยาล้างห้องน้ำประชดถูกกลั่นแกล้ง

วันนี้ 6 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวได้รับจากเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิหลักเสียงเซี่ยงตึ๊งสว่างเมตตาธรรมสถาน นครราชสีมา ว่ามีเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยฯ หญิงรายหนึ่ง ตัดสินใจกินน้ำยาล้างห้องน้ำ เพื่อพยายามที่จะฆ่าตัวตาย พร้อมกับใช้โทรศัพท์มือถืออัดคลิปขณะจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำ โดยตัดพ้อคณะกรรมการมูลนิธิฯ ชุดใหม่ ว่าตนเองถูกกลั่นแกล้งสารพัด ทั้งการตัดเงินเดือน เปลี่ยนแปลงเวลาทำงาน และลดชั่วโมงการทำงาน ซึ่งทำให้รายได้ลดน้อยลง ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ที่ต้องมีภาระรับผัดชอบหลายอย่าง ทั้งส่งลูกเรียนหนังสือ ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ทั้งที่ตนเองทำงานที่มูลนิธิฯ มานานกว่า 12 ปีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังจากนั้นคลิปก็ถูกตัดขาดหายไป

พร้อมกันนี้ยังได้มีการเขียนจดหมายลาตายทิ้งไว้ โดยมีใจความว่า “ฉัน น.ส.สุนันทา ฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้ใหญ่มูลนิธิหลักเสียงเซี่ยงตึ๊ง โดนกลั่นแกล้ง สั่งย้าย โดนคำพูดแรงๆ ทุกอย่าง ฉันไม่มีกำลังใจเลย ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนช่วยเลย ฉันทำงานที่นี่ 12 ปีแล้ว แล้วฉันมีภาระบ้านต้องส่ง ลูกหลายอย่าง แล้วพวกเค้ามาบีบฉัน ย่นเวลาทำงาน ฉันไปทำงานเมื่อวาน 5 ม.ค. เค้าสั่งลูกน้องที่ทำงานไม่จ่ายค่าแรงฉัน สั่งปิดงานก่อนเวลา ยึดกุญแจโต๊ะทำงานฉัน ฉันท้อมากเหลือเกิน ถ้าฉันตายไปคงดี” พร้อมกับระบุชื่อกรรมการมูลนิธิฯ 5 คน และปิดท้ายด้วยคำว่า “หนูตายจะได้ไม่ไปขวางทางพวกเฮียเนาะ”

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายณัฐพล ก่ำโพธิ์ อายุ 33 ปี ระบุว่า ตนเองเป็นสามีของ น.ส.สุนันทา ที่ปรากฏในคลิป ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 05.30 น. รุ่งเช้าวันที่ 6 มกราคม 2563 หลังจากที่ตนเองตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมที่จะไปทำงานปกติ ก็พบว่าด้านหน้าบ้านเปิดไฟไว้หลายดวง จึงได้ลงไปดู ปรากฏว่าเห็นภรรยากำลังยกขวดน้ำยาล้างห้องน้ำซดไปหลายอึก จึงได้พุ่งเข้าไปคว้าขวดออกจากปาก และรีบเอามือล้วงคอ เพื่อให้ภรรยาอาเจียนออกมา หลังจากนั้นก็ได้หาไข่ไก่มาป้อนให้ภรรยากิน เพื่อให้อาเจียนล้างน้ำยาออกจากท้องให้หมด ก่อนที่จะนำตัวส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งขณะนี้แพทย์ระบุว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว นับว่าโชคดีที่ตนเองไปเห็นก่อน ไม่เช่นนั้นภรรยาคงจะกินน้ำยาล้างห้องน้ำไปมากกว่านี้ และไม่สามารถช่วยเหลือได้ทันแน่นอน เพราะน้ำยาล้างห้องน้ำมีฤทธิ์เป็นพิษซึมไปทั่วร่างกายได้รวดเร็วมาก

ส่วนสาเหตุของการคิดฆ่าตัวตายครั้งนี้ ตนก็คาดว่าจะเกิดจากความเครียดในที่ทำงาน เพราะตนเองได้ยินภรรยาบ่นให้ฟังว่า ถูกกรรมการมูลนิธิฯ ในที่ทำงานบีบคั้นหลายอย่าง เช่น ลดเวลาทำงาน เปลี่ยนแปลงเวลาทำงาน ลดค่าแรง และใช้คำพูดที่รุนแรงถึงขั้นว่าถ้าหากทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาทำงาน นอกจากนี้ยังมีการจะสั่งย้ายภรรยาของตนเองไปฝึกงานใหม่ที่สุสาน ทั้งที่ภรรยามีประสบการณ์ทำงานมานานกว่า 12 ปีแล้วก็ตาม ประกอบกับครอบครัวของตนเอง ก็มีรายได้น้อย ภรรยาต้องส่งหนังสือพิมพ์ตอนเช้า ช่วงบ่ายทำงานที่มูลนิธิฯ รายได้เดือนละ 9,000 บาท ส่วนตนเองทำงานที่ร้านประดับยนต์ และมาช่วยมูลนิธิฯ เช่นกัน แต่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายมาก ไม่ว่าจะเป็น ค่าใช้จ่ายส่งลูก 2 คนเรียนหนังสือ ส่งค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ และค่ากินค่าอยู่ในครอบครัว ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก เมื่อรายได้ลดน้อยลง และถูกบีบบังคับสารพัดเช่นนี้ ภรรยาจึงเกิดความเคียด และคิดฆ่าตัวตายดังกล่าว