หากพูดถึงปัญหาสังคมของคนเมือง เชื่อว่าหนึ่งในปัญหาที่หลายคนอยากให้เร่งแก้ไขเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้น ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ เมื่อเกิดฝนตกหนัก โดยเฉพาะบริเวณซอยต่างๆ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต้องหา วิธีแก้ปัญหาน้ำท่วม ซ้ำซากนี้อย่างจริงจัง
ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้หมดไป แต่เชื่อหรือไม่ว่า แนวทางการแก้ปัญหานี้ มีผู้ทำการคิดค้นและวิจัยเอาไว้แล้ว โดย วิธีแก้ปัญหาน้ำท่วม กรุงเทพนั่นคือ การทำแก้มลิงในซอย
ศ. ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ได้พูดถึงการแก้ปัญหาแบบยั่งยืนนั่นคือ โมเดลแก้มลิงในซอย สูตรสำเร็จแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ โดยแนวคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ทำได้จริง และประสบผลสำเร็จแล้วในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ถนนออร์ชาร์ด สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย
นวัตกรรมทางการแพทย์ จาก สจล. เพื่อผู้ติดเชื้อโควิด 19
1. กรุงเทพฯ เป็นแอ่งกระทะต้องสร้างระบบการระบายน้ำที่สอดรับกับสภาพภูมิประเทศ
โครงสร้างกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ ถนนต่ำกว่าระดับแหล่งน้ำ ดังนั้น เมื่อฝนตกลงมา น้ำจึงระบายไม่ได้ เพราะถนนหลักและท่อระบายน้ำอยู่สูงกว่าซอย แม้ว่ากรุงเทพฯ จะมีอุโมงค์ยักษ์ระบายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม แต่ด้วยขีดความสามารถในการระบายน้ำที่จำกัด และปัญหาขยะอุดตัน ทำให้ไม่สามารถลำเลียงน้ำไประบายได้เต็มประสิทธิภาพ จึงมีปริมาณน้ำรอการระบายบนพื้นถนนมากเกินไป จนเกิดปัญหาน้ำท่วมขัง ด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างระบบการระบายน้ำที่รับกับโครงสร้างของกรุงเทพฯ นั่นก็คือ การสร้างแก้มลิงกักเก็บน้ำ ทำหน้าที่พักน้ำฝนปริมาณมาก เพื่อรอระบายเมื่อฝนไม่มีตกเพิ่ม
2. น้ำที่ต้องเร่งระบาย คือ น้ำย้อน
แม้โครงสร้างกรุงเทพฯ จะเป็นแอ่งกระทะถนนอยู่ต่ำกว่าระดับแหล่งน้ำ แต่ปัญหาน้ำท่วมขังที่คนกรุงเทพฯ กำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ไม่ใช่น้ำที่มาจากน้ำทะเลหนุน หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ แต่เป็นน้ำที่เกิดจากปริมาณน้ำฝนบนถนนใหญ่ ไหลลงมาในซอยที่มีระดับต่ำกว่า และถูกสูบกลับออกไปบนถนนใหญ่ จากนั้นก็ไหลย้อนกลับลงมาในซอย เราเรียกน้ำนี้ว่า “น้ำย้อน” หรือน้ำท่วมในซอย ซึ่งเกิดจากโครงสร้างการทำถนนที่ไม่เอื้อต่อการระบายน้ำ โมเดลแก้มลิงในซอย จะสามารถช่วยแก้ปัญหาวงจรนี้ได้
3.คำนึงถึงความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง
วิธีแก้ปัญหาน้ำท่วม จะต้องส่งผลกระทบต่อชีวิตคนกรุงน้อยที่สุด โครงการสิ่งก่อสร้างใดใดก็ตาม แน่นอนว่าย่อมนำมาซึ่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของคนกรุง แต่การสร้างแก้มลิงในซอยได้ถูกคิดคำนวณมาแล้วว่าสามารถทำได้จริง และส่งผลกระทบต่อชีวิตคนเมืองน้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินหลายเท่า ด้วยโมเดลที่สามารถรองรับน้ำได้ปริมาณ 800 ลูกบาศก์เมตร มีขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 20 เมตร สูง 10 เมตร ทำให้บริเวณที่ต้องปิดถนนก่อสร้างในซอย จะกินพื้นที่เพียงครึ่งเลนเท่านั้น อีกทั้ง ยังใช้ระยะเวลาก่อสร้างไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งนับว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันเพียงระยะเวลาอันสั้น แต่สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอย่างเรื้อรังได้
นอกจากนี้ มูลค่าการก่อสร้างของแก้มลิงบริเวณซอย มีมูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าความสูญเสียเมื่อเกิดน้ำท่วมขัง 50 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ขึ้นในระยะเวลา 45 นาที แต่จะสามารถสร้างความสูญเสียได้ถึง 188,356,164 บาท นับว่าการก่อสร้างแก้มลิงในซอยและใช้งานรองรับการเกิดฝนตกเพียงแค่ครั้งเดียว ก็ถือว่าคุ้มทุนการก่อสร้างแล้ว
ศ. ดร. สุชัชวีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวคิดนวัตกรรมแก้มลิงใต้ดิน ใช้วิธีเปิดหน้าดินเป็นช่องเล็กๆ แล้วใช้เครื่องมือเจาะคว้านดินด้านใน สร้างเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ใต้ดินขึ้น และสร้างท่อระบายน้ำหลัก 4 ท่อ พร้อมเชื่อมกับระบบท่อระบายอื่นๆ ของกทม. เพื่อลำเลียงน้ำฝนบนพื้นถนนไปกักเก็บไว้ใต้ดินเพื่อรอระบายไปยังแหล่งน้ำ โดยสามารถนำร่องศึกษาพื้นที่สวนเบญจกิติ บนพื้นที่กว่า 130 ไร่ มีขอบเขตการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ 900,000 ตารางเมตร สามารถรองรับปริมาณน้ำได้กว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร
นอกจากนี้ ยังเสนอโมเดลแก้มลิงในซอยที่มีปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำเมื่อฝนตก เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมท้ายซอย ซึ่งจะช่วยจัดการปัญหาน้ำท่วมขังอย่างมีประสิทธิภาพได้ภายใน 15 นาที
“น้ำท่วม กทม. เป็นปัญหาซับซ้อน ซ้ำซาก การใช้วิธีการเดิมๆ คงไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะหากทำได้ ก็คงทำได้ไปนานแล้ว ดังนั้นจึงต้องใช้หลักวิศวกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาถึงจะสำเร็จ” ศ. ดร. สุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย