ตอนนี้ต้องยอมรับว่ากระแสรักษ์โลก เป็นเทรนด์ที่มาแรงในทุกวงการจริง ไม่เว้นแม้แต่วงการแฟชั่น ซึ่งองค์การสหประชาชาติรายงานว่า อุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มในปัจจุบันก่อให้เกิดการปล่อยคาร์บอนทั่วโลกมากถึง 10% และยังก่อให้เกิดน้ำเสียถึง 20% ของโลก
หลายแบรนด์แฟชั่นจึงต่างตบเท้าหันมาใส่ใจกับดีเทลต่างๆ ที่จะช่วยในการแบ่งเบาภาระของโลกเราใบนี้ ไม่ว่าจะขั้นตอนการผลิตที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดมลพิษจากการย้อมผ้า หรือแม้แต่การนำขยะที่รีไซเคิลมาทำเป็นเสื้อผ้า ซึ่งยังคงคุณภาพ ใส่สบาย และแต่ละแบรนด์ก็ออกแบบมาได้น่าใส่มากๆ มาอัพเดทกันดีกว่าว่าคอลไหนน่าสนใจบ้าง!!!
คอลเลคชั่น The Earth Polo จาก Ralph Lauren คิดค้นเสื้อที่ผลิตจากขวดพลาสติกรีไซเคิล อย่างน้อย 12 ขวด บวกกับนวัตกรรมการย้อมผ้าแบบใหม่ที่ไม่ต้องใช้น้ำในการผลิต โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถลดปริมาณขวดพลาสติกตามสถานที่ทิ้งขยะต่างๆ และมหาสมุทรทั่วโลกได้ราว 170 ล้านขวด ภายในปี ค.ศ.2025 ซึ่งในปี 2021นี้ นอกจาก Earth Polo แล้วยังมีไอเท็มอื่นที่ผลิตขึ้นมาจากวัตถุดิบ Recycle เช่น รองเท้าผ้าใบที่ทำมาจาก Recycle canvas กางเกงว่ายน้ำ และ เสื้อผ้าที่ทำมาจาก Recycle nylon
ไอเท็มต่างๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะเสื้อโปโล เสื้อยืด และกางเกงยีนส์หลายล้านตัวในแต่ละปี จะใช้กระบวนการย้อมผ้าแบบใหม่ ที่เรียกว่า "Color On Demand" โดยตั้งเป้าจะเป็นระบบการย้อมผ้าฝ้ายแบบไร้น้ำเสียขนาดใหญ่ระบบแรกของโลก ในเฟสแรก Ralph Lauren ได้นำนวัตกรรมน้ำยาปรับสภาพผ้า ECOFAST™ จากบริษัท ดาว (Dow) มาใช้ ซึ่งช่วยเพิ่มการดูดซับสี ลดการใช้น้ำ 40% ลดการใช้สารเคมี 85% ลดการใช้พลังงาน 90% และ ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการย้อมลง 60% ซึ่งจากคุณสมบัติเหล่านี้ ทำให้ ECOFAST™ ได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย เช่น Sustainability Award และ BIG Innovation Awards จาก Business Intelligence Group ในปี 2563 รางวัล Edison Awards ในปี 2562 และ RD 100 Awards จากนิตยสาร R&D World ในปี 2561
ต่อมาจะมีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผสมสี เพื่อนำไปสู่กระบวนการย้อมผ้าฝ้ายที่ไม่ก่อให้เกิดน้ำเสียเลยในที่สุด โดย Ralph Lauren ได้รับความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญถึง 4 บริษัท คือ Dow, Huntsman Corp, Corob และ Jeanologia นอกจากการลดใช้ทรัพยากรอย่างมากแล้ว การย้อมผ้าระบบใหม่นี้ยังช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการผลิตและจัดส่งเสื้อผ้า จากปัจจุบัน ราล์ฟ ลอเรนจะต้องตัดสินใจการย้อมสีผ้าล่วงหน้าหกเดือน กระบวนการใหม่นี้จะสามารถย้อมสีผ้าได้ภายในหนึ่งเดือนก่อนที่จะวางจำหน่ายในร้านค้า และจะนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ผ้าฝ้ายของราล์ฟ ลอเรนจำนวน 80% ภายในปี 2568
คอลเลคชั่นซัมเมอร์นี้ของ Stella McCartney ถ่ายทอดให้เห็นถึงคุณค่าและเอกลักษณ์ของแบรนด์ ่ซึ่งนำวัสดุที่มีอยู่มาดัดแปลงเพื่อลดปริมาณของเสีย อีกทั้งยังนำวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในการผลิตสินค้าในคอลเลคชั่นมากถึง 65% Stella ได้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของธรรมชาติผ่านความต้องการที่จะขับเคลื่อนสังคม โดยโครงร่างของเสื้อผ้ามีความโดดเด่นในสไตล์ของ Stella McCartney ซึ่งในครั้งนี้ได้นำดีเทลแบบสปอร์ตมาผสมผสานเข้าโครงร่างที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม พร้อมกันนั้นก็เสริมสัดส่วนที่จะเข้ากันได้ดีกับรูปร่างของผู้สวมใส่ ควบคู่ไปกับการปรับอุตสหกรรมแฟชั่นให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามความตั้งใจหลักของแบรนด์
Stella ได้ถ่ายทอดกลิ่นอายของการท่องเที่ยวผ่านเดรสผ้าซาตินที่ดูพลิ้วไหวและเปล่งกระกาย รวมถึงจั๊มป์สูทที่ตกแต่งด้วยลายพิมพ์ลายสัตว์ทะเล ซึ่งจะปรากฏในลวดลายเปลือกหอยสีกรมท่าและสีขาว และแพทเทิร์นลายปะการังที่จะช่วยเพิ่มความโดดเด่นให้กับเลกกิ้งผ้าบอดี้คอนและเดรสที่ตัดเย็บขึ้นจากผ้าวิสโคสธรรมชาติ กว่า 78% ของฝ้ายที่ Stella เลือกใช้สำหรับคอลเลคชั่นนี้คือฝ้ายออแกนิก ซึ่งได้นำมาใช้ผลิตเป็นผ้าเดนิมและผ้าเจอร์ซี่ รวมไปถึงการตัดเย็บจั๊มพ์สูทที่เป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์สำคัญของแบรนด์ ซึ่งทำให้ดูเก๋มากยิ่งขึ้นด้วยการย้อมสีด้วยมือ เรียกได้ว่าคงคอนเซ็ปรักธรรมชาติทั้งดีไซน์และวัสดุที่ใช้
ในคอลเลคชั่น Spring 2021 ของ H&M มาในคอนเซ็ปต์ Spring of natural innovations ซึ่งใช้วัสดุที่มาจากการ Recycle วัสดุที่เป็นออร์แกนิคหรือวัตถุดิบวิธียั่งยืน รวมถึงเศษจากพืช รีไซเคิลคอตตอน ถึง 65% ทั้งเสื้อเทรนช์โค้ทที่ได้จากเส้นใยชีวภาพจากซากพืช และกางเกงเดนิมที่ทำจากออร์แกนิคคอตตอน 100% เดรสออร์แกนิคลินินหรือกางเกงที่ทำจากเส้นใยเซลลูโลสจากพืช ไม่เพียงเท่านั้น H&M ยังดึงเอา Zinnia Kumar นางแบบสาว ที่มีตำแหน่งเป็นผู้สนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมและนักนิเวศวิทยามาร่วมถ่ายแบบในคอลเลคชั่นนี้ด้วย
ซึ่งเธอเองก็ชื่นชอบเสื้อผ้าที่มาจากเหล่าวัสดุที่ยั่งยืน และรู้สึกว่าเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังนวัตกรรมมันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ อย่างเช่นกระบวนการ Agraloop™ ที่เปลี่ยนเศษพืชอาหารเช่นของเหลือจากการเกษตรป่านน้ำมัน มาทำเป็นเส้นใยและทอเป็นผ้าผืนใหม่ได้ ในขณะเดียวกันก็ลดการใช้น้ำและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่ง Zinnia ยังบอกอีกว่า “ตอนนี้เหล่าแบรนด์ใหญ่ๆ ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเองก็ร่วมเคลื่อนไหวเพื่อความยั่งยืนอย่างจริงจังแล้ว มันจึงมีศักยภาพมากพอที่จะทำให้แฟชั่นยั่งยืนนั้นพร้อมสำหรับคนทุกคน เพราะการลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีท้ายที่สุดจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งอุตสาหกรรม มันจะช่วยลดราคาและเพิ่มความต้องการเสื้อผ้าที่ผลิตขึ้นอย่างยั่งยืน แฟชั่นซึ่งเคยเป็นเส้นตรงมานานกว่าครึ่งศตวรรษในที่สุดก็กลายเป็นวงกลมแบบวัฏจักรได้”