ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ไขข้อสงสัย ! ฌอน กับปมเงินบริจาคดับไฟป่า เข้าข่ายฉ้อโกงหรือไม่ ? และถ้ามีความผิด จะมีบทลงโทษทางกฎหมายอย่างไร ?
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงขึ้นอีก หลังจากมีการตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเงินบริจาคดับไฟป่า ที่ ฌอน บูรณะหิรัญ ได้เรี่ยไรผ่านโลกออนไลน์ แม้เจ้าตัวจะโพสต์ชี้แจงแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายประเด็น ที่ยังคาใจสังคม
โดยการเรี่ยไรดังกล่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค. ถึง 1 พ.ค. รวมเป็นระยะ 1 เดือน ฌอนแจ้งว่า มียอดบริจาค 8.7 แสนบาท
และเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ได้ทดลองโอนเงินไปที่บัญชีดังกล่าว ก็พบว่า ยังไม่มีการปิดบัญชี ทั้งๆ ที่เลยระยะเวลารับบริจาคมาเกือบ 2 เดือน ก่อให้เกิดข้อสงสัยต่างๆ ตามมามากมาย
ซึ่งปมเงินบริจาคดับไฟป่าของฌอนนั้น จะเข้าข่ายฉ้อโกง...หรือไม่ และถ้าเข้าข่าย มีบทลงโทษทางกฎหมายอย่างไร ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ได้ให้สัมภาษณ์กับสปริงนิวส์ อธิบายไขข้อสงสัยต่างๆ ให้กระจ่างแจ้ง ดังต่อไปนี้
1. การที่ยังปิดบัญชีรับบริจาค ทั้งๆ เลยเวลาที่กำหนดมาแล้ว ส่อเจตนาอย่างไร ?
“การที่ยังไม่ปิดรับบริจาคเนี่ย หรือว่าไม่ได้ปิดบัญชี มันอาจจะมองทางกฎหมายได้ว่า การรับบริจาค การเรี่ยไร ยังมีต่อเนื่องอยู่ ยังไม่ได้มีการยุติ เพราะฉะนั้น ยังไม่สามารถสรุปยอดการเรี่ยไรได้ว่า มีเงินเข้ามาเท่าไหร่กันแน่
“แต่ถามว่า การไม่ปิด (บัญชี) เป็นการฉ้อโกงไหม ยังไม่ใช่ เพราะมันต้องไปดูเจตนาอย่างอื่นประกอบกัน”
2. การกระทำ ที่เข้าข่ายฉ้อโกง มีลักษณะอย่างไร ?
“อย่างแรกนะครับ การดูว่า เจตนาเข้าองค์ประกอบกฎหมายเรื่องฉ้อโกง หรือไม่เนี่ย การโพสต์ตัวแรกเลยนะ
“โพสต์ตัวแรกเลยเนี่ย ที่ผมเห็นเนี่ย มันมีการบอกไหมว่าเงินตัวนี้ จะมีการหักค่าใช้จ่าย มีการบอกไหมว่า จะเอาเงินบริจาคก้อนนี้ไปโฆษณาแฟนเพจตัวเอง เพื่อทำประชาสัมพันธ์
“มีการอธิบายไหมว่า เงินบางส่วนอาจจะเอาไปแก้ไขปัญหาอย่างอื่น เช่น โควิด-19
“ถ้าในตัวโพสต์ต้นฉบับ ไม่มีการพูดถึงแบบนี้เลยเนี่ย มันอาจมองในทางกฎหมายได้ว่า คุณฌอนอาจมีเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ที่ควรบอกให้ประชาชนทราบ
“ซึ่งมันจะเข้าองค์ประกอบฉ้อโกงตามกฎหมายอาญาทันทีเลย เป็นความเสี่ยงมากๆ ของการรับบริจาคในครั้งนี้”
3. กรณีของณอน ถือว่านำเงินบริจาคไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หรือไม่ ?
“มันยังเอกสารอีกตัวที่คนติดใจก็คือ ทำไมถึงมีค่าตัดต่อคลิป 2.5 แสนบาท ทั้งที่ไม่ได้แจ้งไว้ อันที่ 2 ทำไมใบเสร็จกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นเหมือนซื้อของเกี่ยวกับโควิด- 19 ไม่ใช่เรื่องดับไฟป่า
“ซึ่งในทางกฎหมายมองได้ว่า เป็นการใช้เงินที่ผิดวัตถุประสงค์นะ นำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาได้
“หรืออาจจะนำไปสู่ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เรื่องการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือบิดเบือนเข้าสู่คอมพิวเตอร์ โดยประการที่ประชาชนทั่วไปเสียหาย”
4. หากเข้าข่าย มีความผิดทางกฎหมาย จะได้รับโทษอย่างไร ?
“คุณฌอนเนี่ย ถือว่าเป็นวิบากกรรมอีกครั้งหนึ่งเลยนะครับ ถ้ากรมการปกครอง มองว่าการรับบริจาคออนไลน์ที่คุณฌอนลงเป็นการเรี่ยไรเงิน มันจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร
“ซึ่งโทษสูงสุดก็คือ (จำคุก) 6 เดือน ปรับไม่เกิน 500 บาท ในกรณีที่รับบริจาคเรี่ยไรเงินแล้วไม่ออกใบเสร็จให้เขา อันนี้คืออย่างที่ 1
“อย่างที่ 2 ถ้าคนที่เขาบริจาคเงิน เขาบอกว่า คุณฌอนปกปิดข้อเท็จจริง ไม่ยอมแจ้งเขาว่า จะเอาเงินไปหักค่าดำเนินการ หรือเอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ของการเอาไปซื้อของบริจาคโควิด-19 เขาอาจดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชนกับคุณฌอนได้
“ตามประมวลกฎหมาย อาญามาตรา 341 มาตรา 343 เรื่องของผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่น หรือปิดบังข้อเท็จจริง อันควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งมีโทษ (จำคุก) 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท แล้วยอมความไม่ได้
“นอกจากนี้ มันเป็นการโพสต์ผ่านทางโลกออนไลน์ มันยังมี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) เรื่องการนำเข้าข้อมูล อันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษ (จำคุก) 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท
“อันนี้ไม่นับกฎหมายเกี่ยวกับภาษี ที่คุณฌอนจะต้องชี้แจงกับทางกรมสรรพากรว่า เงินที่ได้มาจากการเรี่ยไรเนี่ย มีการเอาไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง
“เพราะต้องเอามาคำนวณในฐานภาษี แต่ปรากฏคุณฌอนเอาไปใช้บริษัทส่วนตัว เอาไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษี อันนี้ก็ไม่น่าจะถูกต้อง”
สุดท้ายนี้ ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ได้ให้คำแนะนำเรื่องการบริจาค เพื่อให้เงินจำนวนดังกล่าว เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
“คือผมก็อยากให้ทางประชาชนที่มีใจเมตตา ชอบบริจาค ทำบุญสุนทานเนี่ย บริจาคโดยตรงให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือมูลนิธิ หรือว่าเป็นสมาคม จะดีกว่า
“เพราะว่าด้วยกฎหมายแล้วเนี่ย การเป็นหน่วยงาน หรือว่าเป็นมูลนิธิ หรือว่าเป็นสมาคม ต้องมีการทำบัญชีรายรับรายจ่ายทุกปี
เป็นเหมือนกับบริษัทจำกัด ไม่ใช่เป็นเหมือนกรณีการบริจาคให้กับบุคคลธรรมดา
“เพราะว่าบุคคลธรรมดาไม่ได้มีกฎหมายควบคุมว่า ต้องชี้แจงรายได้ รายจ่ายอย่างไรบ้าง แล้วเงินจะได้ผ่านไปถึงมือ ตามวัตถุประสงค์ ที่เราต้องการบริจาคโดยแท้จริง”