ห้าม! รถ 10 ล้อวิ่ง 3 เส้นทางหลัก ช่วงเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงมาตรการจัดการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายนนี้ โดยมีมาตรการห้าม รถบรรทุกตั้งแต่ 10 ล้อขึ้นไป วิ่งบนถนน 3 เส้นทางหลักได้แก่ถนนมิตรภาพ บริเวณลำตะคอง ทางหลวงหมายเลข 304 กบินทร์บุรีถึงวังน้ำเขียว ช่วงก่อสร้างอุโมงค์ และทางหลวงหมายเลข 348 อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว มุ่งหน้าบุรีรัมย์ เนื่องจากเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่มักมีปัญหาการจราจรติดขัด เนื่องจากกายภาพของถนนเป็นทางขึ้นเขาลงเขา และทางแคบ ก่อให้เกิดความล่าช้าและการจราจรติดขัด เป็นอย่างมาก

ซึ่งจากการสำรวจช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา พบว่ามีจำนวนรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปผ่านเส้นทางดังกล่าว 5,000-6,000 คัน แต่ปีนี้ต้องการให้ลดจำนวนลงเหลือเพียง 2,000-2,500 คันเท่านั้น เพื่อเปิดโอกาสให้รถของพี่น้องประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนามีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น แต่ตำรวจจะอนุโลมให้เฉพาะรถบรรทุกน้ำมัน รถเครื่องอุปโภคบริโภค รถบรรทุกผลไม้สดหรืออาหารทะเลสด ให้สามารถวิ่งบนเส้นทางดังกล่าวได้ แต่ต้องขออนุญาตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดในเส้นทางที่จะใช้ ส่วนรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไปนอกเหนือจากนี้ ให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจารณา

ขณะที่การนั่งท้ายกระบะ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นั้น จะอนุโลมให้นั่งท้ายกระบะเล่นน้ำสงกรานต์เฉพาะในโซนพื้นที่เล่นน้ำที่กำหนดไว้ ไม่อนุญาตให้ขึ้นมาบนถนนเส้นทางหลัก กรณีที่นำรถกระบะมาวิ่งบนเส้นทางหลัก ผู้ที่นั่งท้ายกระบะจะต้องอยู่ในลักษณะที่ปลอดภัย ไม่นั่งขอบกระบะ ไม่นั่งห้อยขา ไม่บรรทุกน้ำหนักเกิน จำนวนคนนั่งท้ายไม่มาก และไม่ขับเร็วจนอาจเกิดอันตราย พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่จะกวดขันการตรวจแอลกอฮอล์กับผู้ขับขี่ที่เมาแล้วขับจนเกิดอุบัติเหตุทุกราย ซึ่งผู้ที่เมาแล้วขับประกันภัยภาคสมัครใจอาจจะไม่ครอบคลุมด้วยเช่นกัน

ด้าน พล.ต.ต. เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 3 ยังกล่าวถึงการแก้กฎกระทรวง ฉบับที่ 6 เรื่องการกำหนดความเร็วการขับขี่ ที่จะมีการแก้ไขและปรับให้เหมาะสมกับถนนแต่ละจุด หลังจากที่ไม่มีการปรับปรุงให้เหมาะสม กับสภาพจราจรและถนนในปัจจุบันมานานถึง 37 ปี โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนสามารถขับรถได้เร็วขึ้น แต่ต้องปลอดภัย และจะอ้างอิงความเร็วตามมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา เช่นทางหลวงระหว่างเมืองที่ไม่มีทางร่วมทางแยก อาจเสนอให้สามารถขับขี่ได้เร็วขึ้นถึง 105 หรือ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มกำหนดความเร็วขั้นต่ำในเลนขวาสุด สำหรับถนนที่มี 3 ช่องทางขึ้นไป เพื่อให้รถที่ขับช้าไปวิ่งเลนซ้าย

ส่วนตัวเลขความเร็วที่ชัดเจนนั้นจะต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด รวมถึงเปิดรับความคิดเห็นของประชาชนทุกช่องทาง โดยเฉพาะในสื่อโซเชียล เพื่อกำหนดความเร็วให้มีความเหมาะสมกับถนนแต่ละเส้นทางมากที่สุด