อัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญา ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมาย เกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาของอัยการ กรณีสั่งไม่ฟ้องบอล อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต
วันที่ 1 ส.ค. 63 มีรายงานข่าวว่า น.ส.ณัฐวสา ฉัตรไพฑูรย์ อัยการพิเศษฝ่ายสถาบันกฎหมายอาญา ได้ให้ความเห็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับเกณฑ์การพิจารณาสั่งคดีอาญาของพนักงานอัยการ ในคดี นายวรยุทธ อยู่วิทยา (บอส) ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต ดังต่อไปนี้
1.เกณฑ์มาตรฐานที่พนักงานอัยการใช้ในการพิจารณาสั่งคดีคือคดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องหรือไม่
คำว่า“ พยานหลักฐานพอฟ้อง” ไม่ใช่เรื่องความเชื่อหรือความรู้สึก แต่เป็นการตรวจดูจากในสำนวนการสอบสวนว่า มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะนำไปพิสูจน์ให้ศาลลงโทษจำเลย (ผู้ต้องหา) ตามข้อกล่าวหานั้นหรือไม่
2. คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานในทางยืนยันการกระทำความผิดของผู้ต้องหา
หลักฐานสำคัญที่พนักงานสอบสวนใช้ในการดำเนินคดีอาญากับผู้ต้องหา ได้แก่ ภาพเคลื่อนไหวช่วงก่อนเกิดเหตุที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด ประกอบกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจ ที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุ
ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนนและสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคัน
ซึ่งเดิมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญของตำรวจที่คำนวณอัตราความเร็วของรถคันเกิดเหตุให้การว่า คำนวณอัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุได้ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
แต่ต่อมาเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้การว่าตามที่คำนวณไว้เดิมเป็นการคำนวณผิด
ที่ถูกต้องคือ อัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และปรากฏว่าจากการสอบสวนเพิ่มเติมอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์และการพิสูจน์เหตุจากคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯยืนยันว่าจากการคำนวณตามหลักวิชาการ
โดยได้พิจารณาทั้งในเรื่องภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกจากกล้องวงจรปิด
ระยะครูดของรถจักรยานยนต์บนถนน และสภาพรถคันเกิดเหตุทั้งสองคัน อัตราความเร็วของรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุอยู่ที่ 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และสำนวนคดีไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาหักล้างการคำนวณของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าวพนักงานอัยการจึงย่อมต้องรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามคำยืนยันของผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว
สำนวนคดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะยืนยันว่า ผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วสูงในขณะเกิดเหตุ
3. ส่วนประจักษ์พยานสองคนซึ่งมาให้การในชั้นสอบสวนเพิ่มเติมโดยคณะกรรมาธิการของ สนช. ร้องขอให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมนั้น
นอกจากมีการสอบถามข้อเท็จจริงโดยคณะกรรมาธิการ สนช. อันเป็นการกลั่นกรองมาในระดับหนึ่ง
และมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนซึ่งพยานทั้งสองคนมีตัวตนและที่อยู่เป็นหลักแหล่ง คนหนึ่งมียศพลอากาศโท
ที่สำคัญคือพยานทั้งสองคนย่อมต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอันมีโทษทางอาญา หากให้การเท็จต่อพนักงานสอบสวน
ดังนั้นเมื่อคดีไม่มีพยานบุคคลอื่นใดที่รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะเกิดเหตุมาให้การเป็นอย่างอื่น และไม่มีพยานหลักฐานที่กล่าวอ้างหรือโต้แย้งว่า พยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จ
จึงย่อมไม่มีเหตุผลที่พนักงานอัยการจะอนุมานเอาเองได้ว่าพยานทั้งสองคนดังกล่าวให้การเท็จ
หากแต่พนักงานอัยการก็ย่อมต้องรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบกันกับพยานหลักฐานอื่นๆ ในสำนวนคดี
และเมื่อพยานทั้งสองคนต่างให้การว่า ตนขับรถตามหลังรถยนต์ที่ผู้ต้องหาขับในช่วงเกิดเหตุ ในความเร็วระดับเดียวกันไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
และเห็นรถจักรยานยนต์ของผู้ตายขับตัดจากเลนที่หนึ่งจากซ้ายมือมาตัดหน้ารถยนต์ของผู้ต้องหาในเลนที่สามจากซ้ายมือในระยะกระชั้นชิด
โดยไม่มีพยานหลักฐานในสำนวนหักล้างหรือโต้แย้งเป็นอย่างอื่น
อีกทั้งยังสอดคล้องกับจุดชนที่อยู่เลนที่สามจากซ้ายมือ และสอดคล้องกับคำให้การยืนยันของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองรายดังกล่าว
คดีจึงไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟ้องพิสูจน์ให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตายตามข้อกล่าวหาได้
การสั่งไม่ฟ้องเพราะเหตุพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงชอบด้วยเหตุผลและเกณฑ์การสั่งคดีอาญาแล้ว
4. แม้ว่าตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 74 วรรคสองบัญญัติว่าในกรณีที่ผู้ขับขี่ หรือผู้ขี่ หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไป หรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่เกิดเหตุให้สันนิษฐานว่า เป็นผู้กระทำความผิด ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น
ซึ่งจะต้องประกอบกับพยานหลักฐานอื่นโดยหากอาศัยลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวเพียงอย่างเดียว แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถใช้อ้างเป็นเหตุในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นเหตุให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้นได้
และเมื่อพยานหลักฐานอื่นในสำนวนการสอบสวนมีไม่เพียงพอที่จะฟ้อง ลำพังข้อสันนิษฐานดังกล่าวไม่ทำให้คดีมีพยานหลักฐานพอฟ้องในความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต
5. ส่วนประเด็นที่ปรากฏตามข่าวว่ามีหนังสือของมหาวิทยาลัยมหิดลแจ้งพนักงานสอบสวนว่าตรวจพบสารเสพติดในร่างกายของผู้ต้องหานั้นไม่ปรากฏเอกสารหลักฐานดังกล่าวในสำนวนการสอบสวนแต่อย่างใด
และไม่ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานเสพยาเสพติด แต่อย่างใดด้วย
6. อนึ่ง การสั่งคดีของพนักงานอัยการ เป็นไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน
ซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้มีอำนาจสอบสวนและทำการสอบสวนโดยที่พนักงานอัยการไม่มีอำนาจสอบสวนตามกฎหมาย
และไม่อาจนำเอาข้อเท็จจริงจากสื่อสารมวลชน หรือจากแหล่งข้อเท็จจริงอื่นใดที่อยู่นอกสำนวนการสอบสวนมาใช้ในการสั่งคดีได้
และแม้พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมก็ต้องเป็นเวลาภายหลังจากที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วและส่งเป็นสำนวนการสอบสวนมายังพนักงานอัยการ
อีกทั้งการสั่งสอบสวนเพิ่มเติมในทางปฏิบัติย่อมต้องอยู่ในกรอบของข้อเท็จจริง ที่เป็นประเด็นปรากฏในสำนวนการสอบสวน หรือจากประเด็นตามการร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาในคดี
พนักงานอัยการไม่มีอำนาจไปแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานใด ๆ ได้เอง
7. อย่างไรก็ดีแม้พนักงานอัยการได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องก็ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องต่อศาลเอง
นอกจากนี้ในกรณีที่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้ ก็อาจมีการรื้อฟื้นคดี โดยพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยานหลักฐานใหม่ เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหานั้นใหม่ได้ตามกฎหมาย