SHORT CUT
BYD ยักษ์ใหญ่ EV จีน ประกาศลดราคารถยนต์ครั้งใหญ่สูงสุด 34% จุดชนวนสงครามราคาเดือด หุ้นคู่แข่งดิ่งหนัก นักลงทุนกังวลการแข่งขันรุนแรงในตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หุ้นกลุ่ม EV จีนปรับตัวลดลงอย่างหนัก หลังจาก BYD ผู้นำตลาดและแบรนด์รถยนต์อันดับ 1 ของจีน ลดราคารถยนต์ครั้งใหญ่สูงสุดถึง 34% สร้างความกังวลให้นักลงทุนเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรม
การปรับลดราคาครั้งสำคัญของ BYD รวมถึงรุ่น Seagull แฮทช์แบ็ก ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นที่ถูกที่สุดของค่ายและได้รับความสนใจทั่วโลกจากราคาที่ไม่ถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยลดราคาลงอีก 20% เหลือเพียง 55,800 หยวน (ประมาณ 7,780 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 285,000 บาท)
ขณะที่รุ่น Seal ซึ่งเป็นรถซีดานไฮบริดสองมอเตอร์ ได้รับการลดราคามากที่สุดถึง 34% หรือลดลง 53,000 หยวน เหลือ 102,800 หยวน (ประมาณ 14,330 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 525,000 บาท)
โดยหุ้นของ BYD เองร่วงลงมากถึง 8.3% ขณะที่หุ้นของคู่แข่งสำคัญอย่าง Li Auto Inc., Great Wall Motor Co. และ Geely Automobile Holdings Ltd. ต่างปรับตัวลงมากกว่า 5%
BYD ได้เสนอส่วนลดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ารวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดจำนวน 22 รุ่นที่จำหน่ายในประเทศจีน โดยแคมเปญนี้จะมีผลจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
การเคลื่อนไหวนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ซบเซา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของจีนที่ชะลอตัว
สงครามราคาในภาคยานยนต์ที่ทวีความรุนแรงขึ้น แม้ว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมจะยังคงทำสถิติสูงสุดใหม่รายปี แต่ว่าอัตราการเติบโตกลับชะลอตัวลง
ข้อมูลจากสมาคมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแห่งประเทศจีน (CPCA) ที่เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่า ปริมาณสต็อกรถยนต์ ณ ตัวแทนจำหน่ายเมื่อเดือนที่แล้วสูงถึง "3.5 ล้านคัน" หรือคิดเป็นระยะเวลาการขาย 57 วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ให้ความเห็นว่า "แม้ส่วนลดบางรายการจะมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่เดือนเมษายน แต่การประกาศอย่างเป็นทางการครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าสภาวะตลาดปลายทางยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก"
การลดราคาอย่างดุดันของ BYD คาดว่าจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ ทำให้ค่ายรถยนต์คู่แข่งจำเป็นต้องปรับลดราคาลงอีก ซึ่งจะยิ่งบีบให้อัตรากำไรที่บางอยู่แล้วลดน้อยลงไปอีก
แรงกดดันด้านราคาที่รุนแรงนี้กำลังส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบรรดาผู้ผลิตรถยนต์จำนวนมาก นำไปสู่การขาดทุนสะสมและอาจเกิดการควบรวมกิจการในอุตสาหกรรม
นักวิเคราะห์จาก Citi Research คาดการณ์ว่า "เราคาดว่าคู่แข่งจะปรับลดราคาตาม BYD" พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า Chongqing Changan Automobile Co. ได้ประกาศมอบส่วนลดเงินสด 25,000 หยวนสำหรับรุ่น Deepal S07 ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ Zhejiang Leapmotor Technologies Ltd. ก็ได้ปรับราคารุ่น C16 และ C11 เช่นกัน Citi ยังประเมินว่าหลังจากประกาศส่วนลดสุดสัปดาห์ ยอดผู้เข้าชมโชว์รูมของ BYD อาจเพิ่มขึ้นถึง 30% ถึง 40% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า
หากยอดผู้เข้าชมเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นยอดขายได้จริง ยอดขายเดือนพฤษภาคมของ BYD ก็มีแนวโน้มที่จะยังคงเติบโตต่อไป
โดยในเดือนเมษายนที่ผ่านมา BYD สามารถทำยอดขายรายเดือนได้ดีที่สุดสำหรับปี 2025 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า BYD ยังคงอยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการส่งมอบรถยนต์ 5.5 ล้านคันตลอดทั้งปี แม้ว่าอุตสาหกรรมโดยรวมจะเผชิญกับความยากลำบากก็ตาม
นอกจากตลาดในประเทศแล้ว BYD ยังคงเดินหน้าขยายตลาดในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเดือนที่แล้ว BYD สามารถทำยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปได้มากกว่า Tesla เป็นครั้งแรก แซงหน้าแบรนด์รถยนต์สัญชาติอเมริกันที่ครองความเป็นผู้นำในตลาดยุโรปมาอย่างยาวนาน
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ BYD สามารถรับมือกับสงครามราคาในจีนได้ดีกว่าผู้ผลิตรายอื่น คือการมีห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร โดยบริษัทผลิตแบตเตอรี่และเซมิคอนดักเตอร์หลายชนิดด้วยตนเอง
ประกอบกับความได้เปรียบจากขนาดการผลิตในประเทศ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิต ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของ BYD ในไตรมาสสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม อยู่ที่ประมาณ 20% เทียบกับ Tesla ที่ประมาณ 16%
นอกจากนี้ กำไรสุทธิของ BYD ในไตรมาสแรกยังพุ่งสูงถึง 9.15 พันล้านหยวน แซงหน้า Tesla ในอีกหนึ่งตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญ
ที่มา : Finance Yahoo