SHORT CUT
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เดินหน้าความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2039 ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม ใช้ AI ทุกกระบวนการผลิตลดคาร์บอน-ขยะ
พามาดูกรณีศึกษา ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เดินหน้าความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ในปี 2039 ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรม ใช้ AI ทุกกระบวนการผลิตลดคาร์บอน-ขยะ
ในขณะที่โลกร้อนขึ้นทุกวัน สภาพอากาศทั่วโลกกำลังแปรปรวนอย่างหนัก ภาคธุรกิจก็ต่างเดินหน้าปูพรมรับมือเรื่องนี้กัน วันนี้ #SPRiNG พามาดูเป็นกรณีศึกษาของแบรนด์ใหญ่อย่าง ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ว่าเขามีความคืบหน้าเรื่องนี้อย่างไรบ้าง โดยมีโอกาสพูดคุยกับ ‘ณัฏฐิณี เนตรอำไพ’ ที่ปรึกษาอาวุโสฝ่ายสื่อสารองค์กร องค์กรสัมพันธ์ และความยั่งยืน กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย
เขาเล่าให้ฟังว่า ได้เดินหน้ากลยุทธ์การขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2582 นำร่องด้วยความสำเร็จจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขต (Scope) ที่ 1 และ 2 ได้แล้วถึง 72% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558 ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อยกระดับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนตลอดห่วงโซ่อุปทานการจัดการพลาสติก รวมถึงการติดตามผลอย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของยูนิลีเวอร์ที่จะเติบโตอย่างมั่นคงพร้อมสร้างคุณค่าเพื่อโลกและสังคมที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ที่ผ่านมาได้ใช้ AI ช่วยในทุกกระบวนการผลิตตั้งแต่คิด และออกแบบสินค้า ช่วยคิดค้นดาต้า คิดค้นสูตรสินค้าใหม่ๆ หาสารทดแทนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดขยะ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อีกทั้งใช้ AI ในการช่วยจำลองสินค้าเป็นการจำลองภาพจริงของสินค้าตัวนั้น ปรับเปลี่ยนได้เหมือนทำงานในโรงงานผลิตจริงๆไม่มีการปล่อยของเสียลดการผลิตขยะนอกจากนี้ยังใช้ AI มาช่วยในด้านการตลาดการวิจัยการจำหน่ายให้กับลูกค้าที่เป็นห้างสรรพสินค้า
ล่าสุด ยูนิลีเวอร์ ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 1 และ 2 ให้ได้ 100% ภายในปี พ.ศ. 2573 พร้อมทั้งมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานและการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ได้ 42% ภายในปีเดียวกัน นอกจากนี้ บริษัทยังมีเป้าหมายด้านการจัดการพลาสติกที่ชัดเจน โดยมุ่งเพิ่มสัดส่วนพลาสติกรีไซเคิลในบรรจุภัณฑ์ให้ได้ 25% ภายในปี พ.ศ. 2568 ลดการใช้พลาสติกใหม่ (virgin plastic) ลง 30% ภายในปี พ.ศ. 2569 และ 40% ภายในปี พ.ศ. 2571 เทียบกับปีฐาน พ.ศ. 2562 รวมถึงดำเนินการตามแผนที่จะทำให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบแข็งทั้งหมดสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ภายในปี พ.ศ. 2573 และบรรจุภัณฑ์แบบยืดหยุ่นภายในปี พ.ศ. 2578
นอกจากนี้ยูนิลีเวอร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการนำเสนอทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งด้านประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และการรักษ์โลกให้กับผู้บริโภค ปัจจุบัน 57% ของบรรจุภัณฑ์พลาสติกจากยูนิลีเวอร์สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ โดยภายใต้โครงการ Bright Future ซึ่งต่อยอดมาจาก Clean Future ที่ริเริ่มแนวคิดเมื่อปี พ.ศ. 2562 ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาบรรจุภัณฑ์และส่วนผสมให้ยั่งยืนมากขึ้น
เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติและย่อยสลายได้ อย่างซันไลต์ RHAMNO Clean เพื่อช่วยลด CO2 ในขอบเขตที่ 3 ที่สำคัญ เราได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาประยุกต์ใช้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน การผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ไปจนถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้ในท้ายที่สุด”
โดยความสำเร็จของ ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ยังเห็นได้จาก โรงงานเกตเวย์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ได้รับการรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ตั้งแต่ปี 2566 ผ่านการพัฒนา Biomass Boiler, Solar Roof เพื่อจัดหาพลังงานหมุนเวียน ตลอดจนการนำเทคโนโลยี Digital Twin มาจำลองการผลิตและออกแบบบรรจุภัณฑ์ ทำให้ลดต้นทุน ลดของเสีย และเพิ่มคุณภาพโดยไม่ต้องใช้การทดลองจริง
ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าความยั่งยืนไม่ใช่เพียง พันธกิจด้านสังคม แต่ยังเป็น กลยุทธ์ทางธุรกิจ ที่เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว โดยการบูรณาการ เทคโนโลยี AI และดิจิทัลเข้ากับทุกห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่แท้จริง
เรามั่นใจว่าความยั่งยืนคือหัวใจของธุรกิจในการเติบโตอย่างมั่นคง” นางณัฏฐิณี กล่าวปิดท้าย “ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการใช้ศักยภาพด้านนวัตกรรม ยูนิลีเวอร์จะเดินหน้าสร้างทั้ง คุณค่าทางธุรกิจ และ คุณค่าเพื่อโลกและสังคม อย่างเป็นรูปธรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง