SHORT CUT
ยุคปล่อยมลพิษฟรีจบแล้ว! ภาษีคาร์บอนบีบ 14 อุตสาหกรรมมูลค่ากว่า 6.5 ล้านล้านบาท สู่ Net Zero 2065 เตรียมรับมือต้นทุนเพิ่ม แต่คือ โอกาสทองสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์บอนเน็ตเวิร์ค จำกัด และกลุ่มบริษัทในเครือ กล่าวว่า ประเทศไทยเตรียมเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ เตรียมบังคับให้ ‘การปล่อยมลพิษ’ มีต้นทุน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ 14 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักมูลค่ากว่า 6.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 37% ของ GDP ประเทศ กฎหมายฉบับนี้ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 จะนำหลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบผ่านกลไกใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าการทำธุรกิจของไทยไปอย่างสิ้นเชิง
1. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax): หรือ “ภาษีโลกเดือด” จะถูกเก็บจากสินค้าที่มีกระบวนการผลิตที่ปล่อยมลพิษสูง ทำให้สินค้าเหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้น
2.ระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS): เปรียบเสมือน “ตลาดหุ้นคาร์บอน” ที่บริษัทที่ปล่อยมลพิษน้อยกว่าเกณฑ์ สามารถขายโควตาส่วนเกินให้กับบริษัทที่ปล่อยเกินได้ สร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจลดการปล่อยมลพิษ
3.การรายงานข้อมูลภาคบังคับ: บริษัทต่างๆ จะต้องจัดทำ “สมุดพกสิ่งแวดล้อม” เพื่อเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองต่อสาธารณะ คล้ายกับการรายงานงบการเงินประจำปี
4.กองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เงินที่ได้จากภาษีและตลาดคาร์บอน จะถูกนำเข้า “กองทุนสู้โลกร้อน” เพื่อใช้สนับสนุนโครงการลดโลกร้อน และช่วยเหลือภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า “ยุคของการปล่อยมลพิษฟรีได้จบลงแล้ว กฎหมายฉบับนี้คือสัญญาณเตือนสำหรับทุกคน ที่ Carbon Network เราไม่ได้มองว่านี่คือ ‘ภาษี’ แต่คือ ‘การลงทุน’ เพื่ออนาคตที่สะอาดและมั่งคั่งกว่าของประเทศไทย เราพร้อมเป็นพันธมิตรให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนความท้าทายนี้ให้เป็นโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลก”
ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน การขนส่ง และการผลิตวัสดุก่อสร้าง มีแนวโน้มที่จะถูกส่งต่อไปยังราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องจ่ายในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า ค่าเดินทาง และราคาบ้านในอนาคต
คาดว่ากฎหมายจะเริ่มบังคับใช้เป็น 3 ระยะ โดยระยะแรกจะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2569 กับกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ได้แก่ การขนส่ง, สาธารณูปโภค (โรงไฟฟ้า), โลหะ, และซีเมนต์ ก่อนจะขยายไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป