svasdssvasds

เกาหลีใต้ ใช้กฎหมาย "แบนมือถือ" ในห้องเรียน แก้ปัญหา"เด็กติดจอ"

เกาหลีใต้ ใช้กฎหมาย "แบนมือถือ" ในห้องเรียน แก้ปัญหา"เด็กติดจอ"

สภาเกาหลีใต้ลงมติผ่านร่างกฎหมายแบนการใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะในห้องเรียนทั่วประเทศ หวังแก้ปัญหาเด็กติดจอและเพิ่มสมาธิในการเรียนรู้ เริ่มมีผลปี 2026

SHORT CUT

  • เกาหลีใต้ผ่านกฎหมาย ห้ามใช้สมาร์ทโฟนระหว่างชั่วโมงเรียนทั่วประเทศ โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมีนาคม ปี 2026 เพื่อเป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับโรงเรียน
  • เป้าหมายหลักคือเพื่อต่อสู้กับ "ภาวะเสพติดสมาร์ทโฟน" ในกลุ่มเยาวชน ซึ่งมีสถิติสูงถึง 43% และเพื่อส่งเสริมสมาธิในการเรียนรู้และพัฒนาการทางสังคมของนักเรียน
  • แม้จะผ่านการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น แต่ยังคงมี ข้อถกเถียงในประเด็นสิทธิของนักเรียน และการมองว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แทนที่จะจัดการกับความกดดันในระบบการศึกษา

สภาเกาหลีใต้ลงมติผ่านร่างกฎหมายแบนการใช้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อัจฉริยะในห้องเรียนทั่วประเทศ หวังแก้ปัญหาเด็กติดจอและเพิ่มสมาธิในการเรียนรู้ เริ่มมีผลปี 2026

สภาเกาหลีใต้ได้ผ่านร่างกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ Smart Device ระหว่างชั่วโมงเรียนในโรงเรียนทั่วประเทศอย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ภาคการศึกษาใหม่ในเดือนมีนาคม ปี 2026

เกาหลีใต้ ใช้กฎหมาย \"แบนมือถือ\" ในห้องเรียน แก้ปัญหา\"เด็กติดจอ\"

กฎหมายฉบับนี้เป็นผลมาจากความพยายามร่วมกันของพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อรับมือกับวิกฤตการณ์เสพติดสมาร์ทโฟนที่ทวีความรุนแรงขึ้น และมีงานวิจัยชี้ถึงผลกระทบที่เป็นอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ

สถิติจากรัฐบาลในปี 2024 พบว่า เกือบ 1 ใน 4 ของประชากรเกาหลีใต้กว่า "51 ล้านคน" มีภาวะพึ่งพาสมาร์ทโฟนมากเกินไป แต่ตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงขึ้นกว่าเท่าตัว เป็น "43%" ในกลุ่มเยาวชนอายุ 10-19 ปี

เกาหลีใต้ ใช้กฎหมาย \"แบนมือถือ\" ในห้องเรียน แก้ปัญหา\"เด็กติดจอ\"

ผู้ปกครองและครูต่างแสดงความกังวลว่า 'การใช้สมาร์ทโฟนส่งผลกระทบต่อผลการเรียนของนักเรียน ทำให้ขาดสมาธิ และแย่งชิงเวลาที่ควรใช้ในการทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น การสร้างปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง หรือแม้กระทั่งการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์'

โช จอง-ฮุน ส.ส. ผู้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ กล่าวว่า มี "หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ที่สำคัญ" ซึ่งบ่งชี้ว่าการเสพติดสมาร์ทโฟนมี "ผลกระทบที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อพัฒนาการทางสมองและการเติบโตทางอารมณ์ของนักเรียน"

แม้กฎหมายจะห้ามใช้โทรศัพท์เฉพาะช่วงเวลาเรียน แต่ยังให้อำนาจครูในการจำกัดการใช้ในบริเวณโรงเรียนได้ พร้อมทั้งกำหนดให้โรงเรียนต้องจัดอบรมเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม กฎหมายมีข้อยกเว้นสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ หรือกรณีจำเป็นเพื่อการศึกษาและเหตุฉุกเฉิน

ท่าทีต่อกฎหมายฉบับนี้ยังคงเสียงแตกในหมู่ครู โดยสมาพันธ์ครูแห่งเกาหลี (KFTA) ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษนิยม สนับสนุนกฎหมายโดยให้เหตุผลว่าช่วยสร้างรากฐานทางกฎหมายที่มั่นคง ในการควบคุมการใช้โทรศัพท์และลดปัญหาการกระทบกระทั่งกับนักเรียน

ขณะที่สหภาพครูและคนทำงานด้านการศึกษาเกาหลี (KTU) ยังไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน โดยสมาชิกบางส่วนกังวลว่าอาจเป็นการละเมิดสิทธิของนักเรียน และมองว่ากฎหมายนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แทนที่จะจัดการกับต้นตอความเครียดที่แท้จริงของนักเรียน เช่น ระบบการแข่งขันเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่กดดันอย่างหนัก

ที่มา : BBCREUTERS

related