จบคดีคลิป Baby Shark ! คลิปตำนาน YouTube นักแต่งเพลงสหรัฐฯ ไม่อาจร้องขอเรียกค่าเสียหาย จากการละเมิดลิขสิทธิ์
ศาลเกาหลีใต้ ชี้ นักแต่งเพลงสหรัฐฯ ไม่อาจร้องขอเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์ ของ สตาร์ทอัพการศึกษาเกาหลีใต้ จากคลิปเพลง Baby Shark ได้
ศาลฎีกาของเกาหลีใต้ ยกฟ้อง คดีเรียกร้องค่าเสียหายจากการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเงิน 30 ล้านวอน (ประมาณ 21,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 18,454 ยูโร) คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 7 แสนบาท ของเพลงเด็กที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง "Baby Shark"
คดีความนี้ เริ่มต้นจาก โจนาธาน ไรท์ นักแต่งเพลงชาวอเมริกัน อ้างว่าเพลงฮิต "Baby Shark" ที่เผยแพร่ในปี 2015 โดย สมาร์ทสตัดดี้ (SmartStudy) สตาร์ทอัพด้านการศึกษาของเกาหลีใต้ ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ เดอะ พิงฟอง คอมพานี (The Pinkfong Company) ได้ลอกเลียนแบบเพลงที่เขาปล่อยออกมาในปี 2011
แต่ศาลได้มีคำตัดสินในวันนี้ (14 สิงหาคม 2025) ว่า เพลงฉบับของไรท์นั้นไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพียงพอที่จะได้รับการคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ โดยยืนตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นก่อนหน้านี้
เพลง "Baby Shark" ของช่อง YouTube Baby Shark - Pinkfong Kids’ Songs & Stories - โด่งดังไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดตัวในปี 2015 และปัจจุบันมียอดเข้าชมบนยูทูบมากกว่า 1.6 หมื่นล้านครั้ง และเป็นคลิปที่มียอดวิวสูงที่สุดบนแพลตฟอร์ม YouTube ณ เวลานี้ หรือจะเรียกว่า เป็นเพลง ที่ยอดวิวไปไกลทะลุจักรวาลแล้วก็ว่าได้
ไรท์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ จอห์นนี่ โอนลี่ (Johnny Only) ได้บันทึกเสียงเพลงเวอร์ชั่นของเขาในปี 2011 ซึ่งเป็นเวลาสี่ปีก่อนหน้าเวอร์ชั่นของพิงฟอง Pinkfong
'เบบี้ชาร์ค' มีพื้นฐานมาจากทำนองเพลงดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในค่ายฤดูร้อนของสหรัฐฯ
เพลงทั้งสองเวอร์ชั่นมีพื้นฐานมาจากทำนองเพลงดั้งเดิมที่ได้รับความนิยมในค่ายฤดูร้อนสำหรับเด็กในสหรัฐอเมริกามานานหลายปี
ศาลเกาหลีใต้ได้ตัดสินให้พิงฟองพ้นผิดจากการละเมิดลิขสิทธิ์ในปี 2021 และได้ยืนยันคำตัดสินดังกล่าวอีกครั้งในปี 2023 ซึ่งศาลฎีกาได้ยืนตามคำตัดสินทั้งสองครั้ง
"ศาลฎีกายอมรับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ว่า เพลงของโจทก์ไม่ได้มีการดัดแปลงทำนองเพลงพื้นบ้านที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างมีนัยสำคัญ ถึงขนาดที่จะถือได้ว่าเป็นผลงานชิ้นใหม่ที่แยกต่างหากตามมาตรฐานทางสังคมทั่วไป" ศาลระบุในแถลงการณ์
พิงฟองกล่าวว่า คำตัดสินของศาลได้ยืนยันว่าเพลง "Baby Shark" นั้น "มีพื้นฐานมาจากเพลงร้องตามแบบดั้งเดิมซึ่งได้กลายเป็นสาธารณสมบัติไปแล้ว"
แต่เดิมนั้น เส้นทางของ "Baby Shark" ไม่ได้เริ่มต้นจากสตูดิโอในเกาหลีใต้ แต่มีรากฐานย้อนกลับไปไกลกว่านั้น มันคือเพลงที่เล่าขานต่อกันมารุ่นสู่รุ่นในค่ายฤดูร้อนและกิจกรรมรอบกองไฟในโลกตะวันตก ซึ่งเวอร์ชันดั้งเดิมมีเนื้อหาที่น่ากลัวกว่าปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องราวของฉลามที่ไล่กินคนในทะเล
ก่อนที่เวอร์ชันของ Pinkfong จะถือกำเนิดขึ้นในปี 2016 เพลงนี้เคยปรากฏในรูปแบบดิจิทัลมาแล้ว โดยเวอร์ชันที่โดดเด่นคือ "Kleiner Hai" (ฉลามน้อย) ของศิลปินชาวเยอรมัน Alemuel ในปี 2007 ซึ่งได้รับความนิยมจนติดชาร์ตเพลงในเยอรมนีและออสเตรีย
ความสำเร็จของ "Baby Shark" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการออกแบบทางดนตรีที่สอดคล้องกับหลักจิตวิทยาอย่างแยบยล
ปัจจัยสำคัญประกอบด้วย
ความเรียบง่ายเชิงโครงสร้าง (Simplicity): ทำนองเพลงใช้โน้ตเพียงไม่กี่ตัวในสเกลที่จำกัด ทำให้สมองของเด็กสามารถประมวลผลและจดจำได้อย่างรวดเร็ว
การใช้เทคนิคการซ้ำ (Repetition): ท่อนฮุค "doo doo doo doo doo doo" ที่ถูกเล่นซ้ำๆ คือหัวใจสำคัญที่สร้างปรากฏการณ์ "Earworm" หรือเพลงติดหู การซ้ำเติมนี้สร้างรูปแบบที่สมองคาดเดาได้ ทำให้เกิดความรู้สึกพึงพอใจและอยากฟังอีก
ที่มา : yahoo dw Forbes theguardian
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
Baby Shark Dance เพลงที่ยอดวิวเยอะสุดในโลก กลายเป็นเครื่องมือทรมานนักโทษ
จอฟ้ามรณะ คืออะไร ประวัติศาสตร์ 40 ปีอยู่คู่กับระบบ Windows กำลังจะหายไป