svasdssvasds

ทำไมเราควรพูดสุภาพกับ AI ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ช่วยให้คำตอบดีขึ้น

ทำไมเราควรพูดสุภาพกับ AI ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ช่วยให้คำตอบดีขึ้น

“ทำไมการพูดสุภาพกับ AI จึงมีประโยชน์: ไม่ใช่แค่เรื่องตลก แต่สะท้อนจิตวิทยามนุษย์ วัฒนธรรม และการรักษาความเป็นคนในโลกดิจิทัล”

SHORT CUT

  • การพูดสุภาพกับ AI ไม่ใช่เรื่องตลก แต่สะท้อนนิสัยและคุณค่าที่เราถือไว้ในชีวิตจริง
  • งานวิจัยพบว่า “ไม่สุภาพ” ส่งผลเสียชัดเจน ขณะที่ความสุภาพพอดีช่วยให้คำตอบดีและยาวขึ้น
  • ที่สำคัญ ความสุภาพต่อ ChatGPT ไม่ได้ฝึกมันเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังฝึกเราให้รักษามารยาทในโลกจริงด้วย

“ทำไมการพูดสุภาพกับ AI จึงมีประโยชน์: ไม่ใช่แค่เรื่องตลก แต่สะท้อนจิตวิทยามนุษย์ วัฒนธรรม และการรักษาความเป็นคนในโลกดิจิทัล”

ทุกวันนี้ หลายคนอาจมองไร้สาระเมื่อต้องพิมพ์คำว่า “กรุณา” หรือ “ขอบคุณ” เวลาคุยกับ ChatGPT หรือ เอไอตัวอื่นๆ ทั้งที่มันเป็นเพียงซอฟต์แวร์ที่ไม่มีความรู้สึก

ทว่าแท้จริงแล้วพฤติกรรมนี้สะท้อนบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าความขำขัน เพราะมันไม่เพียงเกี่ยวพันกับการทำงานของ AI เท่านั้น หากยังเกี่ยวข้องกับจิตวิทยามนุษย์และวิธีที่เราปฏิบัติต่อกันในโลกจริงด้วย

มุมมองนี้มาจาก กาเบรียล วัสโก (Gabrielle Wasco) Content Lead ของเว็บไซส์ The Decision Lab ผู้ที่ตั้งคำถามว่าความสุภาพของเราต่อ ChatGPT บอกอะไรเกี่ยวกับตัวเรากันแน่

เขาตั้งข้อสังเกตว่า การที่เรามีมารยาทกับ AI มักอธิบายได้จากสามแนวโน้มทางจิตวิทยาหลัก ได้แก่ การทำให้เป็นมนุษย์ (personification), บรรทัดฐานทางสังคม (social norms) และ อคติแห่งการตอบแทน (reciprocity bias)

เมื่อสมองเรามอง AI เป็นมนุษย์

เริ่มจากข้อแรก การทำให้เป็นมนุษย์ สมองของเรามักจะมองสิ่งไม่มีชีวิตเหมือนมีจิตใจอยู่เสมอ เช่น การมองหน้ารถแล้วเหมือนเห็นสีหน้าคน หรือคุยกับสัตว์เลี้ยงเหมือนมันเข้าใจเรา ChatGPT ก็เข้าข่ายนี้เช่นกัน เพราะอินเทอร์เฟซคล้ายแอปแชทที่เราใช้กับเพื่อน ทำให้เราเผลอรู้สึกว่ากำลังสื่อสารกับ “ใครสักคน” มากกว่า “อะไรสักอย่าง” ยิ่งกว่านั้น ความสามารถของโมเดลใหม่ ๆ เช่น GPT-4o ที่สามารถพูดคุยด้วยน้ำเสียงสมจริง และการตอบสนองที่ดูมี “ความเข้าใจเชิงอารมณ์” (computational empathy) ยิ่งทำให้เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปฏิบัติกับมันอย่างมนุษย์

เพราะถูกสอนมาตั้งแต่เด็ก เราจึงสุภาพโดยอัตโนมัติ

ข้อที่สอง ความสุภาพก็ยังเป็นผลจากบรรทัดฐานทางสังคมที่เราถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก คำว่า “กรุณา” และ “ขอบคุณ” ไม่ได้เป็นเพียงถ้อยคำ แต่เป็นเครื่องมือที่สังคมใช้หล่อหลอมพฤติกรรมจนกลายเป็นสัญชาตญาณ ข้อมูลชี้ว่า 88% ของพ่อแม่ยังคงสอนลูก ๆ ให้พูดคำเหล่านี้เป็นประจำ ดังนั้นแม้เราจะรู้ว่า AI ไม่มีความรู้สึก แต่การไม่พูดคำสุภาพกลับใช้พลังงานทางความคิดมากกว่า กลับกันการไม่พูดคำสุภาพกลับทำให้รู้สึกแปลก ๆ เหมือนทำสิ่งที่ไม่เข้ากับนิสัยของเรา

สุภาพกับ ChatGPT แล้วจะได้คำตอบดีกว่า ?

ปัจจัยสุดท้ายคือ  อคติแห่งการตอบแทน มนุษย์เรามักทำอะไรบางอย่างเพื่อหวังให้ได้สิ่งตอบแทนกลับมา เหมือนการพูด “ขอบคุณ” กับรูมเมตที่ช่วยล้างจาน เพื่อให้เขาอยากช่วยอีกครั้งในอนาคต การพูดสุภาพกับ ChatGPT ก็ทำงานในทำนองเดียวกัน หลายคนเชื่อว่า หากเราใช้ถ้อยคำสุภาพ จะได้คำตอบที่ดีกว่า ซึ่งบางครั้งก็จริง งานวิจัยบางชิ้นพบว่า หากใส่บริบทเชิงอารมณ์ เช่น “นี่สำคัญกับงานของฉันมาก” หรือแม้แต่คำพูดง่าย ๆ อย่าง “คิดให้ดีๆ  ก่อนตอบ” ก็ช่วยให้คำตอบของ AI มีคุณภาพมากขึ้น

ทำไมเราควรพูดสุภาพกับ AI ไม่ใช่เรื่องตลกแต่ช่วยให้คำตอบดีขึ้น

ถ้าไม่สุภาพ AI จะให้ข้อมูลผิด!

คำถามคือ จริง ๆ แล้วความสุภาพช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้นจริงหรือ? งานศึกษาจากมหาวิทยาลัยวาเซดะ ประเทศญี่ปุ่น ที่ชื่อว่า Should We Respect LLMs? พบว่า สิ่งที่มีผลชัดเจนที่สุดไม่ใช่การ “สุภาพมากขึ้น” แต่คือการ “ไม่สุภาพ” ซึ่งส่งผลเสียอย่างชัดเจน เช่น ทำให้โมเดลตอบผิดพลาดมากขึ้น หรือตอบปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม เมื่อผู้ใช้สุภาพปานกลาง AI มีแนวโน้มตอบยาวขึ้นและมีสาระมากขึ้น แต่ถ้าสุภาพเกินไปกลับทำให้ผลลัพธ์สับสนหรือด้อยคุณภาพลง

ที่น่าสนใจคือ ความสุภาพก็ยังมีมิติทางวัฒนธรรม งานวิจัยเดียวกันพบว่า ChatGPT ตอบสนองต่อความสุภาพแตกต่างกันไปตามภาษา เช่น อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น นั่นหมายถึง AI ไม่เพียงสะท้อนความสามารถของอัลกอริทึม แต่ยังสะท้อนโลกทัศน์และวัฒนธรรมของผู้ใช้ที่มันถูกฝึกมาด้วย การเข้าใจประเด็นนี้จึงสำคัญ หากเราต้องการให้ AI เป็นเครื่องมือระดับสากลที่ตอบสนองความหลากหลายของมนุษย์

ท้ายที่สุด ความสุภาพต่อ ChatGPT ไม่ใช่เพียงการ “ฝึกมัน” แต่เป็นการ “ฝึกเรา” ด้วย เพราะทุกครั้งที่เราพิมพ์ “please” หรือ “thank you” เรากำลังสร้างวงจรสะท้อนกลับที่ส่งต่อไปยังผู้ใช้อื่น ๆ และตัวเราเอง มันกลายเป็นการซ้อมมารยาทที่จะช่วยให้เรายังคงอ่อนโยนและเคารพกันในโลกจริง ไม่ใช่แค่เฉพาะในหน้าจอ

ที่มา : thedecisionlab 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related