ในโลกที่ความเร็วคือศาสนา ฟอร์มูล่าวันไม่เคยหยุดพัฒนา — ไม่ใช่แค่เรื่องเครื่องยนต์ แต่อยู่ที่ “สมองกล” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังทุกรอบสนาม ทุกวันนี้ รถแข่งหนึ่งคันมีคอมพิวเตอร์นับพันหน่วย คอยวัด ควบคุม จำลอง และวิเคราะห์ทุกการเคลื่อนไหว แต่การเดินทางของเทคโนโลยีนี้เริ่มจากไหน? และมันกลายเป็นหัวใจของวงการได้อย่างไร?
ย้อนกลับไปปี 1950 ปีแรกของการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน โลกเพิ่งรู้จักคอมพิวเตอร์แบบ “โปรแกรมได้” เป็นครั้งแรก —
ชื่อของมันคือ EDSAC เครื่องยักษ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ที่ต้องใช้ “เทปเจาะรู” ในการสั่งงาน
กินพื้นที่เท่ารถ McLaren สองคัน และใช้เวลาหลายชั่วโมงแค่จะรันโปรแกรมพื้นฐานหนึ่งชุด
ขณะที่นักคณิตศาสตร์ในห้องทดลองพยายาม “คิด” ให้เร็วขึ้น นักแข่งในสนามกลับมีเพียงความรู้สึกและกล้ามเนื้อเป็นเครื่องมือวัดสมรรถนะของรถ
ยุค 1960s คือช่วงเวลาที่ “ดินสอ” ยังสำคัญกว่าชิป วิศวกรออกแบบรถบนโต๊ะเขียนแบบ ส่วน “ข้อมูล” ทั้งหมดอยู่ในหัวและสัญชาตญาณของคนขับ
Bruce McLaren เคยเข้าใจผิดว่ารถตัวเองน้ำมันหมดในสนาม Monaco Grand Prix ปี 1967 ทั้งที่จริงเป็นปัญหาเครื่องยนต์ ความผิดพลาดเล็กน้อยแบบนั้นอาจหมายถึงการออกจากเกมทันที แต่ในวันนี้ รถหนึ่งคันส่งข้อมูลมากกว่า 1,000 ค่าในทุกวินาที — วิศวกรรู้ปัญหาก่อนคนขับจะรู้เสียอีก
ทศวรรษ 1970 คือช่วงที่วงจรอิเล็กทรอนิกส์เริ่มเล็กพอที่จะใส่ลงในรถได้ McLaren คือหนึ่งในทีมแรกที่ใช้ Telemetry หรือระบบเก็บข้อมูลจากรถ (ในปี 1975 บน IndyCar) มันสามารถบันทึกข้อมูลได้ 14 ค่า—พอ ๆ กับที่สมาร์ตโฟนของคุณเก็บจากเซนเซอร์รอบตัว
นั่นคือก้าวแรกของ “ยุคข้อมูล” ที่ทำให้ทีมเริ่มเห็นว่าตัวเลขอาจชี้ทางสู่ชัยชนะได้ดีกว่าความรู้สึก
เมื่อคอมพิวเตอร์ในบ้านเริ่มเฟื่องฟู รถแข่งก็เริ่มมี “สมองอิเล็กทรอนิกส์” ปี 1983 McLaren เปิดตัวเครื่องยนต์ TAG Turbo พร้อมระบบ Bosch ที่รวมการควบคุมเชื้อเพลิงและการจุดระเบิดไว้ในหน่วยเดียว
มันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทั้งพลังและการประหยัดน้ำมัน — เรื่องใหญ่ในยุคที่รถถูกจำกัดเชื้อเพลิงไม่เกิน 195 ลิตร
ปี 1985 McLaren ติดตั้งจอวัดน้ำมันดิจิทัลบนรถ Alain Prost เป็นครั้งแรก และชนะสนาม San Marino หลังคู่แข่งหมดน้ำมัน แม้ภายหลังจะถูกปรับแพ้จากน้ำหนักรถ แต่ชัยชนะนั้นกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ที่ทำให้เทคโนโลยีไม่ใช่แค่ตัวช่วย แต่เป็นปัจจัยตัดสินแชมป์
ปลายยุคนี้เกิดระบบ “Burst Telemetry” — รถส่งข้อมูลบางส่วนผ่านคลื่นวิทยุทุกครั้งที่ผ่านพิท มันคือบรรพบุรุษของระบบเรียลไทม์ที่ทีมใช้กันทั่วโลกในวันนี้
ทศวรรษ 1990 คือยุคที่ F1 เข้าสู่เฟสใหม่ของเทคโนโลยี
ปี 1993 ระบบ Active Ride ทำให้รถปรับช่วงล่าง พวงมาลัย และเบรกอัตโนมัติ—all ภายใต้การควบคุมของคอมพิวเตอร์
ข้อมูลจากรถพุ่งขึ้นแบบทวีคูณ วิศวกรต้องใช้เครื่องที่เร็วขึ้น แรงขึ้น และชาญฉลาดขึ้น
และถึงแม้ FIA จะเริ่มจำกัดระบบช่วยขับ ทีมต่าง ๆ ก็หันไปใช้คอมพิวเตอร์ในด้านอื่นแทน ตั้งแต่กลยุทธ์ ไปจนถึงการจำลองสนาม มันคือยุคที่ “อัลกอริทึม” เริ่มสำคัญพอ ๆ กับ “นักขับ”
จากวันที่เครือข่าย ARPANET ส่งเพลงสามนาทีต้องใช้เวลา 5 ชั่วโมง วันนี้ ข้อมูลจากสนาม Australian Grand Prix ส่งถึงศูนย์ McLaren ได้ภายในเสี้ยววินาที
ทีมสามารถสตรีม ข้อมูลเรียลไทม์ จากอีกซีกโลก วิศวกรในอังกฤษเห็นสิ่งเดียวกับทีมในพิทที่ออสเตรเลีย
ทุกอย่างถูกวิเคราะห์ จำลอง และปรับปรุงภายในไม่กี่วินาที
คอมพิวเตอร์ของทีมแข่งยุคนี้คือระดับ “ไม่มีข้อจำกัด” — จากแล็ปท็อปพกพา ไปจนถึงซูเปอร์คอมพิวเตอร์จำลองอากาศพลศาสตร์
ซอฟต์แวร์อย่าง SAP HANA ทำให้วิศวกรค้นหาข้อมูลจากหลายพันรอบการแข่งขันได้ภายในเสี้ยววินาที
ส่วนระบบ Computational Fluid Dynamics (CFD) ใช้ประมวลผลลม แรง และแรงต้าน เพื่อปรับการออกแบบให้แม่นยำระดับอะตอม
ทุกทีมในปัจจุบันต่างใช้ Cloud Computing เพื่อเพิ่มพลังการประมวลผลแบบไร้ขีดจำกัด
แทนที่จะซื้อเครื่องจริง ทีมสามารถเรียกใช้ “เครื่องเสมือน” นับพันจากศูนย์ข้อมูลทั่วโลกได้ภายในไม่กี่วินาที
ที่ McLaren แพลตฟอร์มจำลองข้อมูลที่ทีมพัฒนาเองสามารถรวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว
ตั้งแต่ข้อมูลจากรถจริง ลมในอุโมงค์ ไปจนถึงการทดสอบคลัตช์และเบรก
มันคือ “สมองรวมศูนย์” ที่ให้วิศวกรทุกฝ่ายเข้าถึงข้อมูลเดียวกันได้ทันที
คอมพิวเตอร์ไม่ได้แค่ช่วยให้รถเร็วขึ้น — มันเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิธีสร้าง และเปลี่ยนวิธีแข่งไปตลอดกาล
ความเร็วของข้อมูล = ความเร็วของชัยชนะ
ทุกครั้งที่รถออกสตาร์ต วิศวกรนับร้อยคนในห้องควบคุมทั่วโลกกำลังเฝ้าดูตัวเลขในแบบเรียลไทม์ และในขณะที่คนขับเร่งออกจากโค้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ก็เร่งตามไปพร้อมกัน — เพื่อหาคำตอบว่า “จะเร็วได้อีกเท่าไร” ในฟอร์มูล่าวัน ความเร็วไม่เคยเกิดจากเครื่องยนต์อย่างเดียวอีกต่อไป แต่มาจากการที่มนุษย์และคอมพิวเตอร์ “แข่งไปพร้อมกัน” — บนสนามเดียวกัน
ที่มา : mclaren