svasdssvasds

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

"ซิกเว่ เบรกเก้" ซีอีโอทรู เปิดสูตร 3Ps (Policy, People, Partner) หวังเปลี่ยนจุดแข็งดิจิทัลไทย สู่ผู้นำอาเซียนในสนามรบ AI ชี้ไทยมีพื้นฐานแกร่ง แต่ขาดการลงทุนสตาร์ตอัป

SHORT CUT

  • ประเทศไทย มีความพร้อมอย่างมากในด้าน "Digital Backbone" โดยเฉพาะความแข็งแกร่งของโครงข่าย 4G/5G ที่ครอบคลุม (99% และ 94% ตามลำดับ) และความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ติดอันดับ 8 ของโลก นอกจากนี้ยังมีศักยภาพในการเป็นผู้นำด้าน Data Center ของภูมิภาค แซงหน้ามาเลเซีย
  • แม้คนไทยจะตื่นตัวและปรับตัวใช้ AI อย่างรวดเร็ว (75% เคยใช้) และเศรษฐกิจดิจิทัล (E-commerce) เติบโตสูง แต่การใช้งานส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ "ผู้บริโภค" ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมหลัก (การผลิต, เกษตร) ยังไม่นำ AI ไปใช้เชิงลึก และที่สำคัญคือระบบนิเวศสตาร์ตอัปไทยขาดแคลนเงินทุน (VC) อย่างหนักเมื่อเทียบกับสิงคโปร์ (ไทยได้ 4% สิงคโปร์ได้ 40%)
  • ซิกเว่ เบรกเก้ เสนอ 3 กลยุทธ์หลัก (3Ps) เพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำ ได้แก่ Policy (นโยบายรัฐต้องยืดหยุ่นและส่งเสริมระบบนิเวศ), People (เร่งอัปสกิลคนให้ทำงานร่วมกับ AI ไม่ใช่แข่งกับ AI) และ Partnership (เปิดรับความร่วมมือระดับโลกทั้งรัฐและเอกชน เพื่อปิดช่องว่างด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนาที่ไทยยังต่ำ)

"ซิกเว่ เบรกเก้" ซีอีโอทรู เปิดสูตร 3Ps (Policy, People, Partner) หวังเปลี่ยนจุดแข็งดิจิทัลไทย สู่ผู้นำอาเซียนในสนามรบ AI ชี้ไทยมีพื้นฐานแกร่ง แต่ขาดการลงทุนสตาร์ตอัป

การถือกำเนิดพัฒนาการและความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ถือเป็นอีกหนึ่งในปรากฏการณ์สำคัญแห่งปี เพราะเมื่อรวมกับข้อมูลและระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ศักยภาพการทำงานของ AI เพิ่มสูงขึ้น จนสามารถขนานนามว่าเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาพลิกนิยามการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกใหม่ สร้างสนามการแข่งขันใหม่บน “เส้นทางดิจิทัล” ที่ทุกประเทศต่างกรีธาทัพเข้าไป ดิ้นรนเพื่อหนทางรอดและเติบโต

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

ในการณ์นี้ ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมและดิจิทัล เครือเจริญโภคภัณฑ์ และประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้แบ่งปันแนวคิดและมุมมองการพัฒนาดิจิทัลของไทยในหัวข้อ “พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย: พลิกเกมดิจิทัลไทย สู่ผู้นำดิจิทัลอาเซียน” บนเวที The Standard Economic Forum 2025

จากไฟฟ้าสู่ปัญญาประดิษฐ์

เมื่อพิจารณาถึงการอุบัติขึ้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในแต่ละครั้ง พบว่ามันจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ หลังจากนั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งใหม่ภายใต้กระบวนทัศน์ใหม่ ดังเช่นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 แสงไฟฟ้าที่ประกายขึ้นเป็นครั้งแรกที่ลอนดอน ในช่วงปี พ.ศ. 2423 นั้น ช่างต่างจากปัจจุบันคณานับ เพราะในทศวรรษแรกหลังการประดิษฐกรรม การใช้พลังงานไฟฟ้ายังคงจำกัดอยู่ในวงแคบๆ อย่างบริการสาธารณะ เช่น รถรางและไฟทางเดิน เพราะคนส่วนใหญ่ในสังคมคุ้นเคยกับแหล่งพลังงานหลักอย่างไอน้ำ และมองว่าพลังงานไฟฟ้าถือเป็นสิ่งใหม่ที่เกินความจำเป็นในชีวิต

“การกำเนิดของไฟฟ้าเร่งการก่อตัวขึ้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรม มาจนยุคอินเทอร์เน็ตที่พลิกโฉมทุกอุตสาหกรรมมาแล้วในทศวรรษที่ผ่านมา และ AI กำลังจะทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน” ซิกเว่ กล่าว

 

ด้วยผลลัพธ์จากการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การบริโภคและไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ทิศทางโมเดลธุรกิจของสินค้าและบริการทั้งหลายเปลี่ยนสู่รูปแบบ “การบอกรับสมาชิก” (Subscription) ซึ่งแต่เดิมมักกระจุกตัวในบริการซอฟต์แวร์

ทั้งนี้ โมเดลธุรกิจจะขยายตัวเป็นวงกว้างและครอบคลุมมากขึ้น ทำให้ต่อไปเงื่อนไขการใช้สินค้าผ่านการเป็นเจ้าของไม่จำเป็นอีกต่อไปผ่านรูปแบบการบอกรับสมาชิกแทน ส่งผลให้ผู้บริโภคสามารถคำนวณค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำมาซึ่งความสะดวกสบาย ความนิยมในโมเดลธุรกิจดังกล่าว ไม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในระดับองค์กรเท่านั้น แต่มันจะเกิดขึ้นทั้งอุตสาหกรรม

“ในอนาคต หากคุณต้องการใช้ตู้เย็นแช่ของ คุณอาจไม่ต้องซื้อมันแล้ว แต่คุณจะใช้วิธีจ่ายค่าบริการรายเดือนเพื่อใช้ตู้เย็นแทน เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุค ของ Everything-as-a-Service (XaaS)” เขา อธิบาย

หากมองย้อนกลับไปในอดีต หากเอ่ยถึงยักษ์ใหญ่ที่เป็นตัวแทนของโลกอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม คงจะนึกถึง ExxonMobil และ GE เป็นลำดับต้นๆ แต่ระยะเวลาเพียง 2 ทศวรรษ​ บริษัทที่มีมูลค่าอันดับท็อปของโลกกลับกลายเป็นบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีอย่าง NVDIA, Apple, Microsoft และ Alphabet ที่ความรุ่งเรืองเกิดขึ้นจากการโค้ดดิ้ง การประดิษฐ์ชิปเซ็ต หรือการให้บริการบนอากาศที่จับต้องไม่ได้อย่างคลาวด์ ข้อมูลจาก World Economic Forum ระบุว่า ปัจจุบัน กิจกรรมมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลมีมูลค่าทางเศรษฐกิจคิดเป็นสัดส่วนถึง 15.5% ของจีดีพีโลก พร้อมคาดการณ์ว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า 70% ของการเติบโตทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นโดยธุรกิจที่มีเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นรากฐาน

“เทคโนโลยีไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจแล้ว เพราะเทคโนโลยีได้ทำหน้าที่เป็นระบบเศรษฐกิจด้วยตัวมันเอง” ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มทรู ฉายภาพ

เช็กชีพจรความพร้อมบนสนาม AI

ด้วยการเปลี่ยนแปลงทางภูมิทัศน์ของเศรษฐกิจโลก ทำให้ประเทศต่างๆ ทุ่มเทสรรพกำลังแข่งกับเวลาเพื่อค้นหาความได้เปรียบเทียบเชิงกลยุทธ์บนเส้นทางเศรษฐกิจดิจิทัล เช่นนั้นแล้ว ประเทศไทยอยู่ตรงไหน ท่ามกลางการแข่งขันอันเชี่ยวกราก

ล่าสุด อ้างอิงจากรายงานการจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันทางดิจิทัลของนานาประเทศ โดย IMD พบว่า ไทยอยู่ในสถานะอันดับต้นๆ ของโลกในมิติความพร้อมต่ออนาคตด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล โดยมีสัดส่วนการลงทุนต่อจีดีพี รวมถึงความเร็วแบนด์วิดท์อินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ 8 ของโลก ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความความมุ่งมั่นและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลให้แข็งแกร่งทัดเทียมนานาประเทศ ใม่ว่าจะเป็นโครงข่าย  เสาสัญญาณ ดาต้าเซ็นเตอร์ และระบบคลาวด์ ซึ่งถือเป็นกระดูกสันหลังทางดิจิทัล (digital backbone) เพื่ออำนวยให้เกิดการพัฒนาของระบบนิเวศ AI

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการควบรวมกิจการของทรู คอร์ปอเรชั่น เป็นอีกหนื่งแรงผลักดันที่สำคัญต่อการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลไทย สะท้อนได้จากการรวมเสาสัญญาณให้ทันสมัยและเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในอาเซียน ให้บริการ 4G และ 5G ครอบคลุม 99% และ 94% ของพื้นที่ประเทศไทย ตามลำดับ ความสำเร็จดังกล่าวช่วยส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ลูกค้า รวมถึงยังผลประโยชน์แก่ประเทศในแง่การมีพื้นฐานทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งต่อการเติบโตในอนาคต 

นอกจากนี้ ด้วยความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าและการมีทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ ยังเอื้อให้ไทยมีศักยภาพการเป็นผู้นำด้านดาต้าเซ็นเตอร์ของภูมิภาค นำหน้ามาเลเซียที่รั้งตำแหน่งผู้นำอยู่ในขณะนี้ 

ช่องว่างของทางเดินของสมรภูมิ AI

ความก้าวหน้าทางดิจิทัลของไทย ไม่ได้มีลักษณะทางสถาบันเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในระดับปัจเจกของสังคมอีกด้วย จากข้อมูล Digital Wallet Intelligence Report 2025 พบว่า อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของไทยเติบโตถึงปีละ 19% ซึ่งเป็นเกือบเท่าตัวของค่าเฉลี่ยในภูมิภาค ขณะที่การใช้ธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลคิดเป็นครึ่งหนึ่งของธุรกรรมทั้งหมด ทั้งยังคาดว่าการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์จะมีมูลค่ากว่า 1.86 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ จากกิจกรรมข้างต้น ทำให้ประเทศไทยจัดอยู่ใน 3 อันดับแรกของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เร็วที่สุดในภูมิภาค

เช่นเดียวกับ ความตื่นตัวของการใช้เทคโนโลยี AI ที่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง สะท้อนจากตัวเลขที่ระบุว่า 75% ของคนไทยได้ลองใช้เครื่องมือ AI อย่าง ChatGPT หรือเครื่องมือที่คล้ายกันแล้ว และการใช้นั้นไม่ได้กระจุกตัวอยู่ในเพียงเมืองใหญ่เท่านั้น แต่รวมถึงคนในชนบทหรือกลุ่มเกษตรกรอีกด้วย

“ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นต่อการใช้ AI ในระดับปัจเจกบุคคลเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความเร็วของคนไทยในการปรับตัว” ซิกเว่ กล่าว

อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้งานที่ว่ามีลักษณะที่อยู่ในฐานะผู้บริโภคเสียมาก ขณะที่อุตสาหกรรมหลักของไทยอย่างภาคการผลิต เกษตร และค้าปลีก ยังไม่เห็นการนำ AI ไปประยุกต์ใช้เชิงลึกที่ส่งผลต่อผลิตภาพการผลิตและประสิทธิภาพของซัพพลายเชน ซึ่งช่องว่างระหว่างระดับปัจเจกบุคคลและสถาบันสามารถมองได้เป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย

เช่นเดียวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการสตาร์ตอัปไทย จากรายงานสถานการณ์สตาร์ตอัปเอเชียของ OECD บ่งชี้ว่า ระหว่างปี 2564 ถึง 2566 สตาร์ตอัปไทยได้รับเม็ดเงินลงทุนจากกลุ่ม VC ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คิดเป็นสัดส่วนเพียง 4% ขณะที่สตาร์ตอัปสิงคโปร์ได้รับความสนใจและเงินลงทุนถึง 40% ขณะที่ไทยมียูนิคอร์นเพียง 5 ตัว เทียบกับสิงคโปร์มี 20 ตัวและอินโดนีเซียมี 10 ตัว สถานการณ์ที่ไม่สู่ดีนักในวงการสตาร์ตอัปอาจนำมาสู่ความท้าทายที่สูงขึ้นต่อการช่วงชิงความเป็นผู้นำบนสมรภูมิ AI นี้

“ความท้าทายสำคัญต่อการเติบโตของสตาร์ตอัปไทยไม่ได้อยู่ที่การขาดไอเดีย แต่อยู่ที่การขาดเม็ดเงินลงทุนและความสามารถในการขยายตลาด” ซิกเว่ กล่าวเสริม

3Ps: Policy People Partner (นโยบาย-คน-ความร่วมมือ) 

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่ต้องตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับเส้นทางดิจิทัลข้างหน้านี้ ท่ามกลางการพัฒนาอย่างรวดเร็วของ AI คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเมื่อไร แต่อยู่ที่ เราจะเปลี่ยนให้เร็วแค่ไหนถึงจะช่วงชิงความเป็นผู้นำดิจิทัลของภูมิภาคมาได้

ทั้งนี้ เขาได้ระบุถึง 3 ความท้าทายเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่จำเป็นต่อการต่อสู่บนสมรภูมิ AI อันประกอบด้วย 1.นโยบาย (policy) 2. บุคลากร (people) และ 3. ความร่วมมือ (partnership)

1. นโยบาย – ภาครัฐ = ผู้กำกับดูแล (Regulator) และผู้ส่งเสริมระบบนิเวศ (Ecosystem Enabler)

รัฐบาลต้องออกแบบนโยบายที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม ทั้งในด้านความเร็ว ความยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์และเงินทุน นอกจากนี้ รัฐควรกำหนดนโยบายฐานรากเพื่อเป็นหลักประกันต่อทุกคนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างเท่าเทียม (Equitable Access) การสร้างความเชื่อมั่นผ่านระบบธรรมาภิบาลที่มีจริยธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ (Ethical Digital & AI) ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ประกอบการและนวัตกรรม (Entrepreneurial Opportunity)

2. บุคลากร – สร้างวัฒนธรรมที่เกื้อหนุน เพื่อดึงศักยภาพการทำงานร่วมระหว่างคนและ AI ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดจะไร้ซึ่งความหมายหากขาดบุคลากรที่รู้จักใช้มัน World Economic Forum ประมาณการณ์ว่า ในปี 2573 ตำแหน่งงาน 92 ล้านตำแหน่งทั่วโลกจะสูญหายไป แต่จะถูกทดแทนด้วยตำแหน่งงานใหม่ที่ต้องอาศัยทักษะใหม่อีกว่า 170 ล้านตำแหน่ง และเพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการอัพสกิลดิจิทัลอย่างเท่าเทียม (Inclusive Digital Upskilling) พัฒนาและสนับสนุนการวิจัย เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญ AI รุ่นใหม่ผ่านการศึกษาเชิงลึก (AI Leadership & Expertise) รวมถึงส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานร่วมระหว่างคนกับ AI (Human-AI Collaboration Culture) ทั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการแข่งขันกับ AI แต่คือการเรียนรู้ที่จะดึงศักยภาพของ AI มาใช้ทำงานร่วมกันให้ก่อประโยชน์สูงสุด โดยผสานความสามารถของ AI เข้ากับความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์

3. ความร่วมมือ - เปิดประเทศสู่ความร่วมมือระดับโลก

งบลงทุนด้านการวิจัยของไทยคิดเป็น 1% ของจีดีพี ซึ่งมีสัดส่วนต่ำกว่าประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมกว่าเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ช่องว่างนี้สามารถทำให้แคบหรือปิดลงได้ผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน ส่งเสริมความร่วมมือข้ามพรมแดนผ่านมาตรการกระตุ้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือระดับภูมิภาคระหว่างสถาบันการศึกษาและเอกชน ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นำมาสู่การเติมทรัพยากรบุคคลด้าน AI เข้าสู่ตลาดตามความต้องการที่มากขึ้น

ทั้งนี้ การใช้ศักยภาพ AI ให้เป็นประโยชน์สูงสุด จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้งาน กระบวนการ และเทคโนโลยีอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการคำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรมและสังคมท้องถิ่น เพื่อทำให้มั่นใจว่าเทคโนโลยี AI ที่เกิดขึ้นนี้ โอบรับ เป็นธรรม และเข้าถึงทุกคนในสังคมไทย

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

“หน้าที่ของ AI คือการช่วยเหลือ โอบรับ และผสานความร่วมมือ ไม่ใช่มาแทนที่ศักยภาพของมนุษย์” เขาเน้นย้ำ พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า “หากอินเทอร์เน็ตได้ทำให้ทุกคนในสังคมเข้าถึงโอกาสในศตวรรษที่แล้ว AI ก็จะต้องทำหน้าที่เป็นถังความรู้ให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อผลิตภาพในศตวรรษที่ 21 นี้” 

จังหวะสำคัญเพื่อกำหนดทิศทางแห่งอนาคต

คำถามสำหรับประเทศไทยในวันนี้สำหรับเส้นทางดิจิทัลมาเกินกว่า “ความพร้อม” แต่เป็นเรื่องของ “สถานะ” ที่จะช่วงชิงความเป็นผู้นำ ท่ามกลางปัจจัยเกื้อหนุนต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ความตื่นตัวของประชาชน และตำแหน่งที่ตั้งยุทธศาสตร์ อันเป็นหัวใจของภูมิภาค ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือ “ทำอย่างไร” 

วันนี้ ประเทศไทยยืนอยู่ในจุดเดียวกันกับที่ลอนดอนเคยอยู่ในครั้งปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2 แสงสว่างส่องให้เห็นทางเดินต่อไปข้างหน้าแล้ว สำหรับไทย สิ่งที่เหลือคือ “ความกล้า” ที่จะลุยต่ออย่างไม่หยุดยั้ง

เปิดสูตร 3Ps ผ่านเลนส์ ซิกเว่ เบรกเก้ กรุ๊ปซีอีโอ ทรู คอร์ปอเรชั่น

“การแข่งขันบนสนามดิจิทัลได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว มันไม่ใช่เพียงแค่การไล่ตาม แต่คือการเดินนำ” ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่ม ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวทิ้งท้าย

related