svasdssvasds

กฟผ. รับมือ Data Center บูม ดันยอดใช้ไฟทะลุเพดาน แนะรัฐแก้กฎหมายรับ SMR

กฟผ. รับมือ Data Center บูม ดันยอดใช้ไฟทะลุเพดาน แนะรัฐแก้กฎหมายรับ SMR

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับมือ Data Center บูม ดันยอดใช้ไฟทะลุเพดาน แนะรัฐแก้กฎหมายรับ SMR และใช้โรงไฟฟ้าเก่าเสริมทัพ

SHORT CUT

  • การเติบโตของ Data Center จากเทคโนโลยี AI ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่งสูงเกินกว่ากำลังการผลิตสำรองของประเทศอย่างมหาศาล
  • กฟผ. เสนอทางออกระยะสั้นให้นักลงทุนตั้งศูนย์ข้อมูลใกล้โรงไฟฟ้าเก่าที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อม และทางออกระยะยาวคือการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน
  • อุปสรรคสำคัญของการใช้ SMR ไม่ใช่เทคโนโลยี แต่เป็นข้อกฎหมายและกระบวนการขออนุญาตที่ซับซ้อน กฟผ. จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขกฎระเบียบเพื่อรองรับ

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับมือ Data Center บูม ดันยอดใช้ไฟทะลุเพดาน แนะรัฐแก้กฎหมายรับ SMR และใช้โรงไฟฟ้าเก่าเสริมทัพ

การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี AI และเศรษฐกิจดิจิทัล กำลังส่งผลให้ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ด้านพลังงาน เมื่อความต้องการไฟฟ้าจากอุตสาหกรรม Data Center พุ่งสูงขึ้นในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน จน กฟผ. ต้องออกมาส่งสัญญาณแนะรัฐบาลเตรียมแก้กฎหมายรองรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และแนะนักลงทุนจับคู่โรงไฟฟ้าเก่าเพื่อความเสถียร

วฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวในงานสัมมนา “Thailand Smart City 2026 Data Center พลิกประเทศ” สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างการใช้ไฟฟ้าที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยคลื่นการลงทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกที่มองไทยเป็นฮับดิจิทัลแห่งใหม่

เมื่อระบบสำรองไล่ตามความต้องการไม่ทัน 

ข้อมูลจาก กฟผ. เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ ในอดีต Data Center หนึ่งแห่งใช้ไฟฟ้าเพียงประมาณ 50 เมกะวัตต์ แต่ปัจจุบัน ความต้องการพุ่งสูงถึง 800 เมกะวัตต์ต่อแห่งเพื่อรองรับระบบประมวลผล AI และ Cloud Computing

“ระบบไฟฟ้าไทยออกแบบให้มีสำรองประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ แต่วันนี้มีผู้ขอใช้ไฟฟ้าจริงแล้วกว่า 4,000 เมกะวัตต์ และยังมีรายชื่อสอบถามเข้ามาอีกกว่า 10,000 เมกะวัตต์” นายวฤตกล่าว

ตัวเลขรวมกว่า 14,000 เมกะวัตต์นี้ นับเป็นปริมาณมหาศาลที่เทียบเท่าโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายโรงรวมกัน ซึ่งกลายเป็นโจทย์เร่งด่วนที่ภาครัฐต้องเร่งคัดกรอง "นักลงทุนตัวจริง" ออกจากกลุ่มที่จองสิทธิ์ไว้เฉยๆ เพื่อให้การวางแผนโครงสร้างพื้นฐานแม่นยำที่สุด
 

ทางออกระยะสั้น: "ทำเล" และ "โรงไฟฟ้าปลดระวาง"

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความรวดเร็วและความเสถียร กฟผ. แนะยุทธศาสตร์สำคัญคือการเลือกที่ตั้งโครงการ (Location) โดยเน้นไปที่พื้นที่ใกล้กับโรงไฟฟ้าที่กำลังจะปลดระวาง (Retire) เช่น โรงไฟฟ้าของเอกชนรายใหญ่อย่าง GPSC หรือ GULF

เหตุผลสำคัญคือพื้นที่เหล่านี้มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานครบครัน ทั้งระบบสายส่งแรงดันสูง 500 kV แหล่งน้ำ และระบบสาธารณูปโภค ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้างและรับประกันความเสถียรของไฟฟ้า (System Reliability) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นักลงทุน Data Center ให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ยิ่งกว่าพลังงานสะอาด

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ใช้ประโยชน์จาก "พลังงานเย็น" ที่เหลือทิ้งจากกระบวนการแปลงสภาพก๊าซธรรมชาติ (LNG) ของโรงแยกก๊าซฯ มาใช้ในระบบหล่อเย็นของ Data Center ซึ่งเป็นส่วนที่กินไฟมากที่สุด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

กฟผ. รับมือ Data Center บูม ดันยอดใช้ไฟทะลุเพดาน แนะรัฐแก้กฎหมายรับ SMR


 

ทางออกระยะยาว: โจทย์หินเรื่องกฎหมายนิวเคลียร์ SMR

ในระยะยาว เพื่อตอบโจทย์ทั้งความมั่นคงทางพลังงานและการลดคาร์บอน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก หรือ Small Modular Reactors (SMR) ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาดที่มีความเสถียรสูง ไม่ขึ้นกับสภาพอากาศเหมือนโซลาร์หรือลม

อย่างไรก็ตาม นายวฤตชี้ว่าอุปสรรคสำคัญของไทยไม่ใช่เรื่อง "เทคโนโลยี" แต่เป็นเรื่อง "กฎหมาย"

“เทคโนโลยี SMR ไม่ใช่เรื่องยาก มีการใช้ในเรือดำน้ำมานานแล้ว แต่ความท้าทายคือระเบียบข้อบังคับ” นายวฤตระบุ “ทุกวันนี้โรงไฟฟ้าทั่วไปขอใบอนุญาตใบเดียวก็เดินหน้าได้ แต่สำหรับนิวเคลียร์ ต้องมีการขออนุญาตในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อสร้าง ทดสอบเดินเครื่อง ไปจนถึงการกำจัดกากกัมมันตภาพรังสีและการปลดระวาง”

กฟผ. จึงแนะให้ภาครัฐเร่งพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและกระบวนการขอใบอนุญาตให้รองรับเทคโนโลยีนี้ หากต้องการนำมาใช้เป็นฐานพลังงานหลักในอนาคต

กระจายความเจริญ: ดึงนักลงทุนออกจาก EEC

ปัจจุบัน การลงทุนส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งภาครัฐกำลังพิจารณามาตรการจูงใจทางภาษีและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เพื่อดึงดูดให้นักลงทุนขยายฐานออกไปยังพื้นที่อื่นๆ ของประเทศ ช่วยลดความแออัดของระบบสายส่งในพื้นที่เดิมและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น

บทสรุปจากเวทีนี้ชัดเจนว่า แม้ไทยจะมีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์และความมั่นคงทางพลังงาน แต่การจะรองรับคลื่นการลงทุนระลอกใหม่จากยุค AI จำเป็นต้องอาศัยการปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการทรัพยากร และที่สำคัญที่สุดคือการยกเครื่องกฎหมายให้ทันต่อโลกอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

related