John Carreyrou ยื่นฟ้อง 6 ยักษ์ใหญ่ AI ปมละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือ
นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ผู้กระชากหน้ากาก Theranos เปิดศึกครั้งใหม่ ฟ้องยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรวมถึง xAI ของอีลอน มัสก์ ข้อหาใช้หนังสือเถื่อนเทรน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต
SHORT CUT
- การที่กลุ่มนักเขียนปฏิเสธสถานะ "คดีแบบกลุ่ม" คือการประกาศสงครามที่เน้นผลลัพธ์ทางการเงินที่สูงขึ้น เพื่อกดดันให้บริษัท AI ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ในราคาที่สมเหตุสมผล
- นี่เป็นครั้งแรกที่บริษัทของ อีลอน มัสก์ หรือ xAI ถูกลากเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเด็นการเก็บข้อมูล ซึ่งจะทำให้มาตรฐานการตรวจสอบความโปร่งใสของข้อมูลที่ใช้เทรน AI เข้มงวดขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม
- คำฟ้องนี้เน้นย้ำถึงการใช้ 'Shadow Libraries' ซึ่งเป็นแหล่งรวมไฟล์หนังสือเถื่อน หากศาลตัดสินให้ฝ่ายนักเขียนชนะ อาจนำไปสู่การบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีต้องแสดงหลักฐานที่มาของชุดข้อมูลเทรนทั้งหมดอย่างละเอียด
นักข่าวรางวัลพูลิตเซอร์ผู้กระชากหน้ากาก Theranos เปิดศึกครั้งใหม่ ฟ้องยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีรวมถึง xAI ของอีลอน มัสก์ ข้อหาใช้หนังสือเถื่อนเทรน AI โดยไม่ได้รับอนุญาต
John Carreyrou นักข่าวสืบสวนสอบสวนชื่อดังจาก New York Times และเจ้าของผลงานหนังสือ "Bad Blood" ได้ยื่นฟ้องบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกถึง 6 แห่ง ได้แก่ Google, xAI, OpenAI, Anthropic, Meta Platforms และ Perplexity ต่อศาลรัฐบาลกลางในแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
คำฟ้องระบุว่า บริษัทเหล่านี้ได้ทำการ 'โจรกรรม' ผลงานเขียนที่มีลิขสิทธิ์ผ่านห้องสมุดเงา (Shadow Libraries) หรือแหล่งรวมหนังสือละเมิดลิขสิทธิ์ เพื่อนำไปป้อนเข้าสู่โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) ที่ขับเคลื่อนแชทบอทอัจฉริยะ โดยไม่มีการขออนุญาตหรือจ่ายค่าตอบแทนใดๆ ให้กับนักเขียน
ความน่าสนใจของการฟ้องร้องครั้งนี้คือ การที่ xAI ของ อีลอน มัสก์ ถูกระบุชื่อเป็นจำเลยในคดีลิขสิทธิ์เป็นครั้งแรก นอกจากนี้กลุ่มโจทก์ยังเลือกที่จะไม่ใช้วิธีฟ้องแบบกลุ่มเหมือนคดีอื่นๆ ก่อนหน้านี้
โดยแคร์รียูและนักเขียนอีก 5 ท่านต้องการสู้คดีแบบรายบุคคล เพื่อให้ได้รับค่าเสียหายตามกฎหมายสูงสุดถึง $150,000 ต่อผลงานหนึ่งชิ้น แทนที่จะยอมรับเงินชดเชยเฉลี่ยเพียงไม่กี่พันดอลลาร์จากการเจรจายอมความในคดีแบบกลุ่ม
แคร์รียูได้กล่าวต่อหน้าผู้พิพากษาในกระบวนการก่อนหน้านี้ว่า การขโมยหนังสือมาสร้าง AI คือ 'บาปกำเนิด' ของอุตสาหกรรมนี้ และข้อตกลงยอมความมูลค่า $1.5 พันล้านดอลลาร์ของ Anthropic ที่เคยเกิดขึ้นนั้น ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก (คิดเป็นเพียง 2% ของเพดานค่าเสียหายสูงสุด) ซึ่งไม่เพียงพอที่จะลงโทษความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ครั้งใหญ่นี้ได้
ที่มา : REUTERS
