เปลี่ยนรถคันใหม่ รถไฮบริดหรือรถยนต์ไฟฟ้า เลือกอย่างไรดีให้เหมาะกับยุคนี้
การเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่เพียงครั้งเดียว จะทำให้คุณต้องอยู่กับรถคันนั้นไปยาวนานไม่ต่ำกว่า 5-7 ปี หรืออาจมากกว่านั้น ดังนั้นการที่คุณจะเลือกซื้อต้องมีปัจจัยหลากหลายอย่าง และที่สำคัญก็คือระบบเชื้อเพลิงนั่นเอง เพราะปัจจุบันมีทั้งรถยนต์ไฟฟ้าหรือรถไฮบริด
ปัจจุบันมีทั้งรถน้ำมัน,รถไฮบริดและรถไฟฟ้า EV ให้คุณเลือกใช้ แต่แบบไหนจะเหมาะกับคุณและสถานการณ์เศรษฐกิจที่สุด เนื่องจากแต่ละแบบมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป
รถน้ำมันเชื้อเพลิงปกติคงไม่ต้องพูดถึงเพราะเนื่องจากส่วนใหญ่ต้องรู้จักและเคยใช้กันอยู่แล้ว เราจึงขอข้ามไปพูดถึงรถยนต์แบบไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท
1.ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด หรือ (HEV, Hybrid electric vehicle)
รถยนต์ไฮบริด เป็นยานยนต์ไฟฟ้าแบบลูกผสม (Hybrid) มีทั้งเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปและมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ จึงมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำกว่ายานยนต์ปกติ รวมทั้งยังสามารถนำพลังงานกลที่เหลือหรือไม่ใช้ประโยชน์เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้าเก็บในแบตเตอรี่ แต่ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้า
HEV รถยนต์ประเภทนี้จะยังคงต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเรื่องเครื่องยนต์อยู่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเหมือนรถสันดาปหรือรถน้ำมันทั่วไป
2.ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (PHEV, Plug-in Hybrid Electric Vehicle)
เป็นยานยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาต่อยอดมาจาก HEV ซึ่งมีการทำงานทั้ง 2 ระบบ (น้ำมันและไฟฟ้า) แต่เพิ่มระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟขึ้นมา (plug-in) การอัดประจุไฟฟ้าจากภายนอกและนำมาเก็บไว้ที่แบตเตอรี่นั้น ทำให้ PHEV สามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลกว่า HEV
รถยนต์ PHEV จะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลงเนื่องจากส่วนใหญ่ระบบนี้มีการรับประกันดูแลจากยี่ห้อต่างๆ เช่น Volvo V60 inscription มี VPSP 5 ปี ( ฟรีเช็คระยะทุก 20,000 กิโลเมตร จำนวน 5 ครั้ง) ซึ่งก็จะประหยัดกว่ารถยนต์สันดาปและแบบไฮบริดทั่วไป
3.ยานยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV, Battery Electric Vehicle)
เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีการปล่อยไอเสียออกมาเลย เนื่องจากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และใช้พลังงานแบตเตอรี่ไฟฟ้า ซึ่งมาจากการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าอย่างเดียว ไม่มีการปล่อยมิลพิษทางอากาศจากยานยนต์โดยตรง
รถยนต์ BEV หรือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าล้วน 100% ขณะนี้มักจะพบปัญหาสถานีชาร์จไม่เพียงพอ และต้องติดตั้ง Wallbox ที่บ้านเพื่อชาร์จไฟ และการติดตั้ง Wallbox ก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงพอสมควรเนื่องจากระบบไฟที่บ้านอาจไม่รองรับ และรถยนต์ BEV ยังไม่เหมาะกับคนที่อาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนท์ เนื่องจากจะยุ่งยากเนื่องจากไม่มีสถานีชาร์จส่วนตัว และคอนโดส่วนใหญ่ยังไม่มีสถานีชาร์จบริการ
ที่มา : evat.or.th
หากมองในเรื่องของค่าใช้จ่ายจากเชื้อเพลิงแน่นอนว่า รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) นั้นสามารถตอบโจทย์ในการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ดีที่สุด แต่รองลงมาเพื่อเพิ่มความสะดวก (PHEV) ที่สามารถทำได้สองระบบทั้งชาร์จไฟและใช้น้ำมันขับเคลื่อนก็เหมาะกับคนที่ไม่สะดวกติดตั้ง Wallbox หรือสถานีชาร์จไฟที่บ้าน
We Predict ได้ศึกษาและชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ามีค่าบำรุงรักษาต่ำกว่ารถยนต์น้ำมันหรือสันดาปมาก โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะต้องจ่ายประมาณ 2,500 บาทเท่านั้นในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่รถเครื่องยนต์สันดาปมีค่าใช้จ่ายประมาณ 7,500 บาท ซึ่งโดยประมาณมากกว่า 3 เท่าตัว
และล่าสุดยังมีระบบไฮบริด HEV ที่ Nissan Kicks e-POWER เลือกใช้ หรือที่พูดกันว่า “รถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ต้องชาร์จไฟ” ซึ่งจะใช้เครื่องยนต์ มาทำการปั่นไฟเพียงอย่างเดียว ไม่ได้นำมาขับเคลื่อน โดย e-POWER จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์แทน ทำให้เกิดความประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงเกิดขึ้น
ซึ่งทำให้เทคโนโลยี e-POWER จะทำให้การขับขี่ในเมือง จะประหยัดกว่านอกเมือง เพราะเนื่องจากระบบปั่นไฟขณะรถติดจะทำให้ประหยัดน้ำมัน และสามารถทำได้ดีกว่าการวิ่งทางไกลยาวๆ
หากแบ่งตามปัจจัยอย่างที่พักอาศัยก็จะจำแนกได้ดังนี้
บ้านเดี่ยว/ตึกแถว/อาคารพาณิชย์ หรือทาวน์เฮาส์
สามารถติดตั้ง Wallbox หรือ Wall Charger ส่วนตัวได้ เลือกใช้ได้ทั้ง EV และ PHEV
คอนโดมิเนียม,อพาร์ตเมนท์
ไม่สามารถติดตั้ง Wallbox หรือ Wall Charger ส่วนตัวได้ เหมาะกับรถยนต์ PHEV หรือ Hybrid
หากแบ่งตามการเดินทางและการใช้งานก็จะจำแนกได้ดังนี้
อาศัยอยู่ในตัวเมือง เดินทางไกลไม่บ่อยนัก เหมาะกับรถยนต์ EV
อาศัยอยู่ในตัวเมือง และเดินทางไกลเป็นประจำ เหมาะกับรถยนต์ PHEV, Hybrid หรือ รถ EV ที่มีความจุแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
อาศัยอยู่นอกตัวเมืองหรือต่างจังหวัด เหมาะกับรถยนต์ Hybrid หรือ PHEV
อาศัยอยู่ทั้งในตัวเมืองและต่างจังหวัด เดินทางบ่อยตลอดเวลา เหมาะกับรถยนต์ Hybrid หรือ Hybrid HEV , PHEV
ไฮบริด HEV ใน Nissan Kicks e-POWER ก็เป็นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเช่นกัน เพราะเป็นทางเลือกที่อยู่ตรงกลางระหว่างระบบไฟฟ้าและระบบน้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำให้คนที่อยู่ต่างจังหวัดและห่างไกลสถานีชาร์จ โดยระบบนี้ไม่ต้องชาร์จไฟฟ้า แต่สามารถประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มาก
