svasdssvasds

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

อภิศักดิ์-รพี-ภากร" สร้างตราบาปการศึกษาไทย ยอมปล่อย "ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์" เข้าตลาดหุ้น

ตามติดต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มต้นกับประเด็นร้อนว่าด้วยการนำสถาบันการศึกษาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเหตุผลเพียงว่าเพื่อระดมเงินทุนใช้หมุนเวียนในการขยายธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษา ไม่เท่านั้นยังเกี่ยวโยงกับกลุ่มทุนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย ที่แสดงเจตจำนงค์จะเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย เนื่องจากมีข้อมูลระบุว่าเป็นกลุ่มธุรกิจจากสิงคโปร์อีกด้วย

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

กรณีนี้ที่ผ่านมาทางด้าน เครือข่ายปกป้องประโยชน์ผู้ถือหุ้นในตลาดทุนไทย ได้มีความพยายามเคลื่อนไหวให้ผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. พิจารณาข้อดี-ข้อเสียอย่างรอบด้าน กลับดูนิ่งเฉยไม่ดูดายผลกระทบที่จะเกิดขึ้นแต่อย่างใด

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

ล่าสุดมีข้อมูลเพิ่มเติมมีรายงานข่าวจาก "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า “ก.ล.ต.” ได้อนุมัติให้ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) “SISB” ผู้ประกอบการธุรกิจการศึกษา “โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์” สามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 260 ล้านหุ้น เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บล.ฟินันเซีย ไซรัสฯ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

และนี่จึงเป็นที่มาคำถามมากมายเกิดขึ้นในสังคมวงกว้าง ถึงประเด็นความเหมาะสมที่ “โรงเรียนจะเข้าตลาดหุ้น”?? “ตรรกะของตลาดทุน” คือ การระดมทุน คือการสร้างความมั่งคั่งให้เจ้าของ คือการทำกำไรสูงสุด คือการเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นได้อย่างอิสระ

ส่วน “โรงเรียน” คือ สถานศึกษาสำหรับนักเรียนภายใต้การดูแลของครูอาจารย์ คือที่จะคอยฟูมฟัก อบรม สั่งสอน ให้ความใกล้ชิด กับเด็กๆ คือที่พัฒนาเยาวชนของชาติ เพื่ออนาคตของประเทศชาติสืบไป

ด้วยเหตุนี้ “ธุรกิจการศึกษา” จึงหาใช่ธุรกิจปกติ แต่คือธุรกิจเพื่อความ “มั่นคง” ต่อประเทศ!! อาชีพ ครู อาจารย์ จึงเป็นอาชีพที่มีเกียรติ เช่นเดียวกับ ผอ. โรงเรียน และเจ้าของ แต่วันนี้เมื่อมีคนเขลา เห็นแก่ตัว และมีอำนาจรัฐกลุ่มหนึ่งมาปฏิสัมพันธ์กัน เพื่อผลักดันให้ “โรงเรียน” เข้าตลาดหุ้น “ปรัชญาการศึกษา” จึงกำลังแปรเปลี่ยนจากการมุ่งพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน ไปสู่นโยบายการสร้างกำไรสูงสุด

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

หากแผนการนี้สำเร็จ หากปล่อยผีโรงเรียนแรกเข้าตลาดฯ หากเป็นกรรมของประเทศชาติ ดิฉันในฐานะที่พยากรณ์แม่นมาหลายต่อหลายเรื่อง จะทายอนาคตระบบการศึกษาไทยให้ฟังในสิ่งที่จะเกิดขึ้น

1. กลไก ระบบ และตรรกะแห่งตลาดทุนจะบังคับให้โรงเรียนมุ่งแสวงหากำไรสูงสุด แปลว่าเพิ่มค่าเล่าเรียน และลดรายจ่าย นั่นคือคุณภาพและสิ่งอื่นๆ ที่นักเรียนพึงได้รับ เช่น ค่าจ้างครู

2. โรงเรียน (นานาชาติสิงคโปร์) จะอยู่ในสภาวะเสี่ยงตลอดเวลา เพราะไม่รู้วันไหนผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวต่างชาติจะขายหุ้นทิ้ง และหอบเงินจากตลาดหุ้นไทยกลับประเทศสิงคโปร์ พร้อมกับรอยแผลที่สร้างไว้กับระบบการศึกษาเมืองไทย

กรณีนี้หาก “คนไร้ศีลธรรม” เข้าซื้อหุ้นโรงเรียนในตลาดหลักทรัพย์จะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของชาติ

3. โรงเรียนจะเกิดการขยายสาขาแบบดอกเห็ด ไล่ซื้อกิจการการศึกษา ไล่ซื้อบุคลากร เพื่อลดการแข่งขันและความเป็นเสรี โรงเรียนจะกลายเป็นดั่ง “โรงงานผลิตวุฒิการศึกษา”

4. “นักเรียน” จะถูกแปรค่าจากอนาคตของชาติไปสู่ “ลูกค้า” ค่านิยมและคุณค่าของ “ครู” ซึ่งเปรียบดั่ง “แม่พิมพ์ของชาติ” จะเปลี่ยนไป

จินตนาการได้เลยนะเจ้าคะ ไม่ต่างจากวันนี้ที่เรามีโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหุ้นไทย ที่กึ่งผูกขาดและคิดค่ายาแก้ปวดเราแผงละเป็นร้อย ๆ ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลคืออาชีพรักษาชีวิต!

นายทุนเจ้าของกิจการโรงพยาบาลไม่กี่คนร่ำรวยล้นฟ้า กินนิ่มกำไรปีละหมื่นๆ ล้าน ส่วนพวกผู้ก่อตั้งก็ขายทิ้งและลืมอุดมการณ์ของหมอไปจนหมด!

เยี่ยงนี้แล้วมันเหมาะสมมั้ย? ที่ “ธุรกิจการศึกษา” จะถูกตัดต่อพันธุกรรม ขายวิญญาณ อุดมการณ์ ให้เข้าไปกับ “ตรรกะแห่งตลาดทุน”

ไม่รู้ว่าเป็นความเขลา? มักง่าย? หรือ เป็นธรรม? ของใคร... ท่านรมต.คลัง “อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” อย่าปล่อยปะละเลยให้ “เลขาฯ ก.ล.ต. รพี สุจริตกุล” ฉวยโอกาสหรือลักไก่ปล่อยผ่านธุรกิจการศึกษาเข้าตลาดหุ้นไปโดยขาดการพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแบบนี้!!

ส่วนผู้จัดการ ตลท.คนใหม่อย่าง “ดร.ภากร ปีตธวัชชัย” ก็ฝากผีฝากไข้ไม่ได้อยู่แล้ว เพราะหากไม่มีคนร้องคงทำเนียนปล่อยไหลตามน้ำไปอย่างที่ ก.ล.ต. อนุมัติมา…

โดยสรุปนาทีนี้....คงเป็นกรรมของประเทศที่ “คนโลภ-คนเขลา” และ “คนมีอำนาจ” มารวมตัวกันและปล่อยให้ “โรงเรียนและสถานศึกษา” เข้าตลาดหุ้นอย่างหน้าตาเฉย การตัดสินใจอนุมัติให้ “โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์ (SISB)” เข้าตลาดหุ้นครั้งนี้… เป็นการใช้อำนาจอนุมัติอย่างขาดการคำนึงถึงผลกระทบอันเลวร้ายที่อาจจะตามมา

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

ขอให้ประวัติศาสตร์จารึกไว้… คนไทยควรจะจดจำชื่อคนดังต่อไปนี้ไว้ให้แม่น จดไปได้เลยบนบัญชีหนังสัตว์ เพราะหากโรงเรียนถูกบริหารดั่ง “โรงงานผลิตวุฒิการศึกษา” 5 คนผู้ต้องรับผิดชอบนั่นคือ

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

“อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์” รมว.คลัง ผู้ไม่ยอมนำเรื่องนี้กลับมาทบทวนใหม่ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงต่อความมั่นคงของประเทศ

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

คณะกรรมการ ก.ล.ต.“รพี สุจริตกุล” เลขาธิการ ก.ล.ต. ผู้ที่หลงในอัตตาของตนและคิดว่าตนเองทำถูกเสมอ

สร้างตราบาปการศึกษาไทย ปล่อย รร.นานาชาติ เข้าตลาดหุ้น

“ภากร ปีตธวัชชัย” ผู้จัดการ ตลท. ผู้ปล่อยให้บริษัทที่อาจนำภัยสู่ความมั่นคงและไม่ควรมุ่งเน้นกำไรสูงสุดเข้าตลาดหุ้น

“ยิว ฮอค โคว” ผู้ถือหุ้นใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารชาวสิงคโปร์ของ “บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน)” หรือ “SISB” ผู้ทำหน้าที่แกนหลักในการผลักดันโรงเรียนเข้าตลาดหุ้นไทยเพื่อระดมเงินไปใช้หนี้ จนถูกตั้งคำถามถึง “จิตวิญญาณของความเป็นครู” และ "อุดมการณ์ของเจ้าของสถานศึกษาในหัวใจ"

“สมภพ กีระสุนทรพงษ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัสฯ ที่ปรึกษาการเงิน ผู้ดำเนินการให้ “โรงเรียน” เข้าตลาดหุ้นโดยลืมมองถึงศีลธรรมอันดีงามที่จะอาจถูกทำลาย

คืออนิจจังแห่งโลกมนุษย์ที่น่าสลด เมื่อปรัชญาแห่งการศึกษากำลังถูกแปรเปลี่ยนและถูกทำลายน่าสงสารผู้ปกครองของเด็กๆ เมื่อโรงเรียนกำลังจะมุ่งเน้นการแสวงหากำไรอันสูงสุด เพื่อความมั่งคั่งเฉพาะกลุ่ม

คราวนี้ถือว่าสุดแล้วแต่กรรมของสังคมไทย… ดิฉันก็แค่เพียงหนึ่งเสียงที่ไม่ดังเท่าผู้มีอำนาจ จะยึดถือ “ทิฐิมานะ” ไปก็คงไร้ประโยชน์ ในฐานะสื่อมวลชนก็ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ตราประทับรับรองของ ก.ล.ต. และ ตลท. ครานี้อาจเป็นดั่ง “ตราบาป” และ “รอยแผล” ตลอดกาลในระบบการศึกษาของสังคมไทย

กลับมาวิเคราะห์ราคา IPO และแนวโน้มราคาซื้อขายของ “SISB” สรุปสั้นๆ แล้วกันว่า หุ้นจองก่อนหน้าขายราคาถูกกว่านี้เกือบ 10 เท่ายังหลุดจอง แล้วนับประสาอะไรกับหุ้น SISB ที่ขายราคา P/E กว่า 60 เท่า

จำนวนหุ้นที่ขายก็มากกว่า 260 ล้านหุ้น ราคา IPO 5.20 บาทต่อหุ้น ก็แพงกว่ามาตรฐานเฉลี่ยตลาด เงินระดมทุนก็มหาศาลกว่า 1.3 พันล้านบาท

ส่วนที่ “สมภพ กีระสุนทรพงษ์” ที่ปรึกษาการเงินผู้มุ่งเน้นแต่การหาเงิน โม้ว่ามีกองทุนสนใจกว่า 13 เท่านั้น ขอให้จริงเถอะเจ้าค่ะ โกหกสีขาวผิดศีลและบาปมาก อยู่ในโลกเงินๆ ทองๆ ควรอย่าละทิ้งศีลธรรมอันดีงาม

ก.ล.ต.ก็ควรจับตาการให้ข่าวชี้ชวนแบบนี้!! บทวิเคราะห์ที่ชี้นำราคาเป้าหมายเกินจริงแต่ขาดความรับผิดชอบก็ควรจับตาดูนะเจ้าคะ… ไม่ใช่ไปสอบได้ใบอนุญาตแล้วจะมาเขียนชุ่ยๆ คนดีๆ กันทั้งนั้น รอดูราคาของ SISB วันแรกละกันเจ้าค่ะ แต่ที่แน่ๆ เกือบทั้งหมดของหุ้นน้องใหม่หลุดจองเกือบทั้งหมดในปีนี้!!

related