เรื่องเล่าเศรษฐกิจจากสภา....ลุงตู่บอกมา !

ศึกซักฟอกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็ดุเดือดขึ้นทุกวัน ซึ่งก็มีการพูดถึงในหลากหลายประเด็น หนึ่งในนั้นประเด็นทางด้านเศรษฐกิจที่น่าสนใจ คือ การบริหารงานรัฐบาลล้มเหลวต่อการบริหารประเทศที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง โดยเฉพาะเรื่องของปากท้องพี่น้องประชาชน โดยประเด็นนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ก็ได้ชี้แจงกลับไป 3 ประเด็นสำคัญ โดย “สปริง” จะพาไปสรุปรายละเอียดอีกครั้ง พร้อมกับวิเคราะห์ว่าความเป็นไปได้น่าจะหมายถึงอะไร ?

โดยนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า ในปี2563 ประเทศไทยในสายตาชาวโลก พบว่า ไทยติดอันดับที่ 1 เป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้น ประเด็นนี้หากนำมาวิเคราะห์คำพูดท่านนายกรัฐมนตรี นั่นอาจหมายถึงไทยเป็นประเทศที่เหมาะกับการเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ และเป็นประเทศเกิดใหม่ที่น่าลงทุนมาก ๆ หากเทียบกับประเทศเกิดใหม่อื่น ๆ เพราะมีความพร้อมในหลายด้าน หรือว่าการเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ ของนักธุรกิจชาวไทย และต่างประเทศ หรือเปล่า ?

ประเด็นต่อมา คือ ไทยได้อันดับ 2 ประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุน น่าจะหมายความว่า... ไทยเหมาะกับการลงทุนในทุก ๆ ธุรกิจ หรือว่าถ้าดูจากสายตาแล้วตอนนี้นักลงทุนต่างชาติอาจมองว่าเหมาะกับการลงทุนท่องเที่ยวหรือเปล่า เพราะไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม และทรัพยากรอื่น ๆ ทางการท่องเที่ยวที่เพียบพร้อม หรือว่านักลงทุนอาจสนใจเข้ามาเทคโอเวอร์โรงแรมที่ได้รับผลกระทบโควิดเพราะท่องเที่ยวไทยสวยงามน่าลงทุน

นอกจากนี้เรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กำลังจะเกิด หรือที่กำลังจะเร่งผลักดันอยู่จะเป็นน้ำหอมชั้นดีที่จะทำให้ไทยเนื้อหอมให้ต่างชาติหันมาตอมหรือเปล่า?  แต่จะว่าไปแล้วที่เห็นตามข่าวก็มีนักลงทุนย้ายฐานการผลิตไปเวียดนามบ้างก็มี ประเด็นนี้ก็น่าเอามาคิดเหมือนกันว่าสรุปยังเนื้อหอมหรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เชื่อว่าคงมีเก่าไปใหม่มาเหมือนตามวัฏจักรแหล่ะ ต่อมามาการพูดถึงประเด็นว่าไทยอันดับ1 ประเทศที่ทุกข์ทรมานน้อยที่สุด ตรงนี้น่าจะหมายความว่า ปากท้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้รับการช่วยเหลือดีกว่าหลาย ๆประเทศ รวมถึงมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐดูแลจากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ดีพอสมควร

ส่วนประเด็นคำถามที่ว่าทำไมการบริหารประเทศของพลเอกประยุทธ์จึงมีเงินค้างท่อจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ารัฐบาลก่อนหน้าตนคงทราบดีว่าเป็นรัฐบาลใคร รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 1 ตั้งแต่ปี 2558 เบิกจ่ายได้ 95% และในปี 2559 เบิกจ่ายได้ 95% ปี 2560 เบิกจ่ายได้ 96 เปอร์เซ็นต์ ปี 2561 ได้ 95 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปี 2562 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ 2 เบิกจ่ายได้ 97.61% ส่วนปี 2563 เบิกจ่ายได้ 60.71 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ได้มีการเพิ่มการจัดทำประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ผลการใช้จ่ายมีปริมาณสูงขึ้นแสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ สาเหตุการเบิกจ่ายล่าช้าเป็นมานานแล้วเกิดจากปัญหาความพร้อมของพื้นที่กรรมสิทธิ์ที่ดิน ราคาที่ดินขาดการบูรณาการในระดับพื้นที่ ทำให้เกิดการซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น จึงต้องมีการปรับเป้าหมายเปลี่ยนแปลงรายการและยกเลิกรายการ อย่างไรก็ตามก็ต้องจับตาดูศึกซักฟอกการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลต่อไปว่าจะมีการถกเถียงกันเรื่องประเด็นอะไรอีก !