สถิติพบว่า คนผิวดำในสหรัฐฯติดเชื้อและเสียชีวิตมากกว่าคนผิวขาวหลายเท่า ตอกย้ำปัญหา ความเหลื่อมล้ำ และการตายของจอร์จ ฟลอยด์ ก็ยิ่งย้ำปัญหาเหยียดผิว
หลายคืนที่ผ่านมา มินนีแอโพลิสต็มไปด้วยความโกรธและความโศกเศร้า ที่ทั้งโลกให้เห็นภาพภาพถ่ายและวิดีโอ อาคารสถานที่ถูกทำลาย สถานีตำรวจถูกเผา ร้านค้าถูกปล้น อากาศเต็มไปด้วยก๊าซน้ำตา สเปรย์พริกไทย กระสุนยาง การะสุนพลุ ควัน เสียงตะโกน เสียงร้องไห้ ฯลฯ จนหลายคนอาจมองข้ามว่าทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่ ความเหลื่อมล้ำ
ความโศกเศร้าและโกรธเคืองจนกลายเป็นการประท้วง จุดชนวนด้วยการเสียชีวิตของ จอร์จ ฟลอย์ ชายชาวผิวดำที่ไม่มีอาวุธและไม่ได้ขัดขืนเจ้าหน้าที่ แต่ก็ยังจบลงที่ความตาย
สถานการณ์บานปลายจนเป็นเหตุจลาจล เจ้าหน้าที่ความมั่นคงลาดตระเวนตามถนนด้วยกระบองและเฟซชิลด์ นักข่าวผิวดำถูกจับกุมระหว่างการรายงานข่าวถ่ายทอดสด
การประท้วงลุกลามไปอีกหลายเมืองทั่วประเทศ ทั้งนิวยอร์ก ลอสแองเจลิส เดนเวอร์ เมเฟิซ หลุยส์วิลล์ ฯลฯ และดูเหมือนว่าจะยังไม่จบง่ายๆ
ทั่วโลกต่างได้รับรู้เรื่องราวของ จอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวดำที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงขณะจับกุม คุกเข่าลงบนคอของเขา ฟลอยด์ไม่มีอาวุธ ถูกมัดข้อมือด้วยตำรวจ และเจ้าหน้าที่ไม่ยอมปล่อยแม้ว่าฟลอยด์จะร้องว่าหายใจไม่ออกอยู่หลายนาทีจนแน่นิ่ง และในที่สุด เสียชีวิตในเวลาต่อมา
เจ้าหน้าที่ระบุว่า ฟลอยด์ถูกจำกุมในข้อหาใช้ธนบัตรปลอมซื้อบุหรี่ ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นอาชญากรรมที่เกิดจากความจน ในช่วงเวลาที่ปัญหาการเงินจากการปิดเศรษฐกิจเกิดขึ้นทั่วโลก
ผู้เห็นเหตุการณ์ได้บันทึกภาพวิดีโอขณะที่ฟลอยด์ถูกจับกุมเอาไว้ และเผยแพร่ในโลกออนไลน์ จนกลายเป็นชนวนการประท้วงในวันรุ่งขึ้น
ผู้คนต่างโกรธเคืองกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความอยุติธรรม คนมากมายเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องไม่ควรแค่ถูกไล่ออก แต่ควรได้รับโทษผ่านขบวนการยุติธรรมด้วย
ผู้ประท้วงจำนวนมากยังคงชุมนุมอย่างสันติ เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการที่ตำรวจมักใช้ความรุนแรงกับคนผิวดำจนจบลงที่การเสียชีวิต
แต่การประท้วงที่ทวีความรุนแรงจนเป็นเหตุจลาจล มีถึง 15 รัฐที่เรียกใช้กำลังพลสำรองเข้าควบคุมสถานการณ์ จนภายในไม่กี่วันที่ผ่านมา มีผู้ประท้วงถูกจับกุมแล้วกว่า 4,000 คน
โควิด 19 ทำให้มีผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯเกินหนึ่งแสนราย โดยจำนวนคนผิวดำที่เสียชีวิตสูงกว่าผิวขาวถึง 2.4 เท่า สำนักข่าวเอบีซีของออสเตรเลียระบุว่า ไม่ว่าจะวัดที่ดัชนีไหน ชาวอเมริกันผิวดำก็ต้องพบความยากลำบากมากกว่า และได้รับความสนใจน้อยกว่า
การถกกันเรื่องความแตกต่างของจำนวนผู้เสียชีวิตระหว่างสองสีผิว มักหยุดอยู่ที่ คนผิวดำมักมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว อย่างโรคอ้วน ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
การรักษาสุขภาพ เป็นสิ่งที่คนผิวดำในอเมริกาจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงได้ เมื่อมีถึง 22 เปอร์เซ็นต์ของคนผิวดำในสหรัฐฯ จัดอยู่ในฐานะยากจน
การถกกันเรื่องปัญหาผิวสี ยังไม่รวมถึงการเหยียดผิวผ่านระบบ ซึ่งมีคำศัพท์เรียกเฉพาะว่า Redlining คือระบบที่ปฏิเสธบริการจากรัฐบาลและเอกชนหลายอย่างต่อกลุ่มคนโดยเฉพาะเจาะจง อย่างในสหรัฐฯ คือคนผิวดำ หรือคนจากบางชุมชน ไม่ว่าจะเป็นโดยทางอ้อม หรือโดยตรงด้วยการคิดราคาที่แตกต่าง
การถกกันในระดับชาติถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำที่โควิด 19 ทำให้เห็นชัดเจนขึ้น ไม่ได้พูดถึงความจริงที่ว่าคนผิวดำจำนวนมาก มักต้องอยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่มีการระบาด ไม่ว่าจะเป็นด้วยงานด้านบริการ การอยู่อาศัยในพื้นที่แออัด หรือการใช้บริการขนส่งสาธารณะ
นอกจากนี้ สถิติยังพบว่า ชาวอเมริกันผิวดำถูกกุมขังมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาวถึง 5 เท่า ซึ่งเรือนจำกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการแพร่เชื้อมากที่สุดในสหรัฐฯ
บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวเอบีซีระบุว่า แทนที่จะใช้โอกาสของช่วงโรคระบาดในการบ่งชี้และหาทางแก้ปัญหา ความเหลื่อมล้ำ แต่ความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ปลายเดือนที่ผ่านมา มีวิดีโอแพร่หลายในสังคมออนไลน์ แสดงให้เห็นผู้หญิงผิวขาวเรียกตำรวจมาจับชายผิวดำที่กำลังดูนกอยู่ในสวนสาธารณะ ต่อมาผู้หญิงคนดังกล่าวได้ขอโทษชายผิวดำว่าเธอเข้าใจผิด แม้ว่าเรื่องจะจบลงด้วยดี แต่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่เผยให้เห็นปัญหาเหยียดผิวในสหรัฐฯ
และแค่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เราได้เห็นข่าวคนผิวดำถูกตำรวจใช้ความรุนแรงจนเสียชีวิตถึง 3 ราย แม้ว่าจะไม่มีการขัดขืนระหว่างจับกุม อย่างกรณี จอร์จ ฟลอยด์ แต่เหตุการณ์ก็จบลงด้วยความตาย
บทวิเคราะห์ชี้ว่า การเสียชีวิตเหล่านี้ รวมถึงฟลอยด์ เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตำรวจได้เคยปฏิญานว่าจะลดจำนวนการจับกุมคนผิวดำที่มีความผิดกับอาชญากรรมเล็กๆ ในช่วงที่กำลังเกิดโรคระบาด และให้ความสนใจไปที่การรักษามาตรการสุขอนามัย อย่างการรักษาระยะห่าง มากกว่า
การประท้วงครั้งนี้ ได้เห็นผู้นำหลายเมืองหลายรัฐออกมาแสดงความเห็นใจผู้ชุมนุมแต่ก็ยังอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงใช้ก๊าซน้ำตาและกระสุนยางในการรับมือการประท้วง
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ เรียกผู้ชุมนุมที่ก่อเหตุรุนแรงว่า “นักเลง” พร้อมระบุว่า “เมื่อการปล้นเริ่มขึ้น การยิงก็จะเริ่มขึ้น.” สร้างความตึงเครียดให้กับสถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่แล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้เข่ากดคอ จอร์จ ฟลอยด์ เคยได้ถูกร้องเรียนมาแล้วถึง 18 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยนำไปสู่การลงโทษใดๆ
การตายของฟลอยด์ เกิดขึ้นท่ามกลางการเรียกร้องความเท่าเทียมในการบังคับใช้กฎหมาย ความโกรธจึงทวีความรุนแรง เพราะความหวังถึงความเท่าเทียมนั้นยังไม่รู้ว่าจะหาได้จากที่ไหน
เรียบเรียงจาก abc.net.au
ภาพจาก XinhuaThai