svasdssvasds

อาคารสูง-คอนกรีต กทม. แหล่งสะสม 'ความร้อน' ภัยเงียบคร่าชีวิต

อาคารสูง-คอนกรีต กทม. แหล่งสะสม 'ความร้อน' ภัยเงียบคร่าชีวิต

คุณรู้หรือไม่ว่า? อาคารสูง-คอนกรีต ใน กทม. แหล่งสะสมความร้อนอันมหาศาล กลายเป็นภัยเงียบคนกรุงเทพฯ คร่าชีวิตคนนับพัน

SHORT CUT

  • ภาวะความร้อนในเมืองที่รุนแรงขึ้นกำลังกลายเป็นความท้าทายที่เร่งด่วนสำหรับกรุงเทพฯ
  • ธนาคารโลก รายงานว่า พื้นที่บางเขต เช่น เขตปทุมวัน บางรัก ราชเทวี และพญาไท เป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่โดยรอบเฉลี่ยถึง 2.8 องศาเซลเซียส
  • รู้หรือไม่?อาคารสูง-คอนกรีต ใน กทม. แหล่งสะสมความร้อนอันมหาศาล กลายเป็นภัยเงียบคนกรุงเทพฯ คร่าชีวิตคนนับพัน

คุณรู้หรือไม่ว่า? อาคารสูง-คอนกรีต ใน กทม. แหล่งสะสมความร้อนอันมหาศาล กลายเป็นภัยเงียบคนกรุงเทพฯ คร่าชีวิตคนนับพัน

ภาวะความร้อนในเมืองที่รุนแรงขึ้นกำลังกลายเป็นความท้าทายที่เร่งด่วนสำหรับกรุงเทพฯ จากข้อมูลของธนาคารโลก ที่ กรุงเทพธุรกิจ ได้รายงานว่า พื้นที่บางเขต เช่น เขตปทุมวัน บางรัก ราชเทวี และพญาไท เป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่โดยรอบเฉลี่ยถึง 2.8 องศาเซลเซียส เนื่องจากมีอาคารสูงและพื้นผิวคอนกรีตหนาแน่นที่สะสมความร้อนและระบายออกช้า

ทั้งนี้เกาะความร้อนในเมือง (Urban Heat Island - UHI) เป็นปรากฏการณ์ที่พื้นที่ในเมืองร้อนกว่าชนบทอย่างมาก เนื่องจากมีอาคารสูง พื้นคอนกรีต ถนนยางมะตอย และกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การขับรถ ทำให้พื้นที่ในเมืองดูดซับความร้อนได้มากกว่า แม้จะได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์เท่ากัน โดยเกาะความร้อนในเมือง สามารถดันให้อุณหภูมิในเมืองสูงขึ้น 10-15 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง ปัจจุบันเขตเมืองเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรครึ่งหนึ่งของโลก คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ภายในปี 2050

โดยพื้นที่ชนบทมักปกคลุมไปด้วยหญ้า พืชผล หรือป่าไม้ ซึ่งช่วยระบายความร้อน ได้ดีกว่าในเขตเมืองที่มีตึกคอนกรีตและถนนยางมะตอยจะดูดซับความร้อน ซึ่งจะมีพืชทำหน้าที่เป็นเครื่องปรับอากาศตามธรรมชาติ โดยดึงน้ำจากพื้นดินผ่านราก แล้วปล่อยน้ำออกมาในรูปของไอน้ำสู่อากาศ ต่างจากพื้นผิวแข็งและมืดทึบ เช่น ทางเท้า ลานจอดรถ และถนน ที่น้ำไม่สามารถซึมผ่านได้ จึงไม่สามารถให้ความเย็นเช่นนี้ได้
 

และจากนั้นอาคารสูงและถนนแคบๆในเมือง ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนรังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์กลับไปกลับมาภายในเมืองจนเกิดเป็น “ปรากฏการณ์หุบเขตเมือง” (Urban Canyon Effect) ปิดกั้นการไหลของลมตามธรรมชาติ ส่งผลให้อากาศที่อยู่ระหว่างอาคารร้อนขึ้นได้ ขณะที่มลพิษจากรถยนต์หรือการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอาจทำหน้าที่เป็นชั้นเรือนกระจกขนาดเล็กเหนือเมือง กักเก็บอากาศร้อนไว้

อย่างไรก็ตามเมืองใหญ่มักกักเก็บความร้อนไว้มากกว่าเมืองเล็ก ศูนย์กลางของมหานครอย่างกรุงลอนดอนและกรุงปารีส มักมีอุณหภูมิสูงกว่าพื้นที่ชนบทประมาณ 4 องศาเซลเซียสในเวลากลางคืน โดยปรากฏการณ์เกาะความร้อนนี้ทำให้อุณหภูมิโลกโดยรวมสูงขึ้น อย่างไรก็ดีในปี 2024 ที่ผ่านมาเป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ มีอุณหภูมิสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมประมาณ 1.55 องศาเซลเซียส เป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล หากสถานการณ์ยังคงเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ คาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะยังคงสูงขึ้นถึง 2.7 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้

ในขณะเดียวกันเกาะความร้อนเหล่านี้อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากความต้องการเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นจากการเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติในช่วงที่เกิดคลื่นความร้อน

สำหรับวิธีแก้ปัญหาเกาะความร้อนในเมืองที่ดีที่สุด คือ การเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับเมือง โดยการเพิ่มต้นไม้ พุ่มไม้ และพืชพรรณสีเขียวอื่น ๆ ที่ทนแล้งในใจกลางเมือง รวมถึงน้ำพุและบ่อน้ำ สร้างหลังคาสีเขียวที่เป็นการปลูกต้นไม้บนหลังคา หรือใช้เทคโนโลยีหลังคาเย็น (Cool Roof) ที่ดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์มายังตัวอาคารได้น้อยลง อีกทั้งยังช่วยสะท้อนแสงแดดได้มากกว่าพื้นผิวทั่วไป จึงทำให้ความร้อนไม่เพิ่มขึ้นมากนัก ขณะที่การทาหลังคาสีขาวสามารถสะท้อนแสงแดดได้ประมาณ 60-90% และช่วยให้บ้านเย็นขึ้น

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ DW, NASA, Reuters

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related