SHORT CUT
งานวิจัยชี้ คลื่นความร้อนผิดปกติที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ มีสาเหตุหลักมาจากการปล่อยมลพิษของผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งพวกเขาควรออกมารับผิดชอบ
การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature เมื่อวันที่ 10 กันยายน ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ทำให้คลื่นความร้อนรุนแรงขึ้นและมีโอกาสเกิดเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ครั้งทั่วโลกในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งวิกฤตนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการปล่อยคาร์บอนจากผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลรายใหญ่ที่สุดของโลกหลายราย
ยานน์ ควิลไกล์ หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งศึกษาภาวะสุดขั้วของสภาพภูมิอากาศในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ กล่าวว่า "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนแต่ละลูกมีโอกาสเกิดบ่อยขึ้นและรุนแรงขึ้น ซึ่งสถานการณ์กำลังยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ"
โดยการศึกษานี้ได้ตรวจสอบคลื่นความร้อน 213 ครั้งตั้งแต่ปีพ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2566 ซึ่งพบในฐานข้อมูลภัยพิบัติระหว่างประเทศ พบว่า มีคลื่นความร้อน 55 ครั้ง หรือประมาณหนึ่งในสี่นั้น "อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย" หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์
พวกเขาชี้ว่า ผู้ที่มีส่วนในการเป็นต้นเหตุหลักๆ ได้แก่ ธุรกิจและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ 180 แห่ง ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ซึ่งรวมถึงบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และประเทศต่างๆ เช่น อดีตสหภาพโซเวียต ซึ่งมีส่วนทำให้ความรุนแรงของคลื่นความร้อนเพิ่มขึ้นประมาณครึ่งหนึ่งนับตั้งแต่ยุคก่อนอุตสาหกรรม และสัดส่วนดังกล่าวยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในจำนวนองค์กรเหล่านี้มี 33 แห่งซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหรัฐอเมริกา มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมด 10% ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 ถึง พ.ศ. 2566 และอีก 33 กลุ่มที่มีฐานอยู่ในประเทศจีน มีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งหมด 12%
งานวิจัยอื่นๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่คล้ายคลึงกันระหว่างการปล่อยก๊าซจากเชื้อเพลิงฟอสซิลและสภาพอากาศสุดขั้ว งานวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์โดยนักวิจัยจากวิทยาลัยดาร์ตมัธในเดือนเมษายนพบว่าความร้อนสูงที่เกิดจากการปล่อยก๊าซจากบริษัทมากกว่า 100 แห่งระหว่างปี พ.ศ. 2534 ถึง พ.ศ. 2543 ส่งผลให้โลกสูญเสียเงินไปถึง 28 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลหลายแห่งกำลังเผชิญกับคดีความจำนวนมากจากเมืองและรัฐต่างๆ ทั่วประเทศที่ฟ้องร้องว่าพวกเขาจงใจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์ของตน