svasdssvasds

สำรวจสถานการณ์รูโอโซนล่าสุด ในวันโอโซนโลกปีนี้ โลกยังเปราะบาง

สำรวจสถานการณ์รูโอโซนล่าสุด ในวันโอโซนโลกปีนี้ โลกยังเปราะบาง

“วันโอโซนโลก 16 กันยายน: สำรวจสถานการณ์รูโอโซนขั้วโลกใต้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ความพยายามลดสารเคมีทำลายชั้นบรรยากาศจะดำเนินมากว่าสามทศวรรษ”

SHORT CUT

  • รูโอโซนรุนแรงที่ขั้วโลกใต้มากกว่า เพราะอุณหภูมิสตราโตสเฟียร์ต่ำยาวนาน ทำให้เกิดเมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลกที่เร่งการทำลายโอโซนได้มากกว่าขั้วโลกเหนือที่อากาศแปรปรวนกว่า
  • เกณฑ์วัดรูโอโซน ใช้หน่วย Dobson Units (DU) โดยถือว่าพื้นที่ที่มีค่าโอโซนต่ำกว่า 220 DU เป็นรูโอโซน โดยเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 300 DU
  • ปัจจัยที่มีผลต่อขนาดรูโอโซน ได้แก่ ความแรงของกระแสลมวนขั้วโลก อุณหภูมิสตราโตสเฟียร์ การปะทุภูเขาไฟ ควันไฟป่า และผลทางอ้อมจากก๊าซเรือนกระจก

“วันโอโซนโลก 16 กันยายน: สำรวจสถานการณ์รูโอโซนขั้วโลกใต้ที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แม้ความพยายามลดสารเคมีทำลายชั้นบรรยากาศจะดำเนินมากว่าสามทศวรรษ”

เนื่องในโอกาส วันโอโซนโลก (World Ozone Day) ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กันยายนของทุกปี วันสำคัญนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อรำลึกถึงความร่วมมือระดับนานาชาติในการลงนาม พิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) เมื่อปี 1987 ที่มีเป้าหมายลดการใช้สารเคมีที่ทำลายชั้นโอโซน และเพื่อย้ำเตือนให้เราเห็นความสำคัญของการปกป้องเกราะป้องกันธรรมชาติของโลกชั้นนี้

โอโซนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จากดวงอาทิตย์ไม่ให้ทะลุผ่านลงมายังพื้นผิวโลก ป้องกันทั้งสิ่งมีชีวิต มนุษย์ สัตว์ และพืช จากผลกระทบร้ายแรงของรังสี UV ที่อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ต้อกระจก และความเสียหายต่อระบบนิเวศ ดังนั้นสุขภาพของชั้นโอโซนจึงเป็นเรื่องที่สะท้อนโดยตรงถึงสุขภาพของสิ่งมีชีวิตบนโลก

เราจึงขอพาทุกคนไปสำรวจสถานการณ์ล่าสุดของชั้นโอโซน โดยอ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ของ European Environment Agency (EEA) ซึ่งได้รวบรวมข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาวะ “รูโอโซน” หรือการบางตัวลงของชั้นโอโซนเหนือขั้วโลกใต้ที่นักวิทยาศาสตร์ติดตามมาตั้งแต่ปี 1979 จนถึงปัจจุบัน เพื่อให้เห็นภาพว่า หลังจากหลายทศวรรษแห่งความพยายามของนานาชาติในการลดการปล่อยสารเคมีทำลายโอโซนแล้ว โลกของเราฟื้นฟูชั้นบรรยากาศนี้ไปได้ไกลแค่ไหน และยังต้องเผชิญความท้าทายใดอีกบ้างในอนาคตอันใกล้

โอโซนขั้วโลกใต้กำลังื้นตัวช้าๆ 

นักวิทยาศาสตร์ใช้หน่วยที่เรียกว่า ด็อบสันยูนิต (Dobson Units: DU) เพื่อวัดปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือพื้นที่หนึ่ง ๆ ซึ่งถ้าโลกโดยเฉลี่ยจะมีอยู่ประมาณ 300 DU แต่ถ้าพื้นที่ไหนมีปริมาณโอโซนต่ำกว่า 220 DU จะถือว่าเป็นบริเวณที่เกิด “รูโอโซน” หรือการที่ชั้นโอโซนบางลงผิดปกติ

ในปี 2000 รูโอโซนที่ขั้วโลกใต้เคยใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ มีขนาดกว่า 28.4 ล้านตารางกิโลเมตร หรือเกือบ 7 เท่าของสหภาพยุโรป แต่ในปี 2024 ที่ผ่านมา รูโอโซนมีขนาดสูงสุดที่ 21.9 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งเล็กที่สุดในรอบหลายปีนับตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา แสดงให้เห็นว่าชั้นโอโซนกำลังฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ตามแนวโน้มที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

สำรวจสถานการณ์รูโอโซนล่าสุด ในวันโอโซนโลกปีนี้ โลกยังเปราะบาง

หลายปัจจัยเบื้องหลังรูโอโซน

ขนาดของรูโอโซนไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งโดยตรง แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกัน ทั้งด้านเคมีและสภาพอากาศ หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ความแรงของกระแสลมวนขั้วโลก (Polar vortex) ซึ่งหากมีกำลังแรง จะกักอากาศเย็นไว้ได้นาน ทำให้รูโอโซนมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอย่างเช่นในปี 2021 ที่มีกระแสลมแรงผิดปกติทำให้รูโอโซนขยายใหญ่มาก ส่วนในปี 2023 รูโอโซนยังคงอยู่ยาวนานไปจนถึงเดือนธันวาคม กลายเป็นปีที่มีอายุยืนยาวเป็นอันดับสามในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน อุณหภูมิของชั้นสตราโตสเฟียร์ ก็มีผลเช่นกัน หากอุณหภูมิสูงขึ้น รูโอโซนจะมีขนาดเล็กลง เช่นในปี 2019 และ 2024 ที่เกิดภาวะอุ่นผิดปกติหลายครั้ง

สำรวจสถานการณ์รูโอโซนล่าสุด ในวันโอโซนโลกปีนี้ โลกยังเปราะบาง

นอกจากนี้ ปรากฏการณ์ธรรมชาติก็มีส่วน เช่น การปะทุของภูเขาไฟ Hunga Tonga ในปี 2022 ที่ปล่อยไอน้ำจำนวนมากขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ หรือควันจากไฟป่าที่ลอยสูงถึงชั้นสตราโตสเฟียร์ ซึ่งอาจรบกวนสมดุลทางเคมีและทำให้รูโอโซนขยายตัวได้เช่นกัน ส่วน ก๊าซเรือนกระจก (GHGs) แม้โดยตรงแล้วจะไม่ทำให้รูโอโซนใหญ่ขึ้น แต่มีผลทำให้ชั้นสตราโตสเฟียร์เย็นลง ซึ่งช่วยให้ชั้นโอโซนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ทว่าในเขตขั้วโลก ความเย็นนี้อาจกลับกระตุ้นการเกิดเมฆที่เร่งทำลายโอโซนได้ด้วย 

โอโซนโลกอาจฟื้นในอีกไม่กี่สิบปี หากโลกยังร่วมมือกัน

แม้จะยังมีความผันผวนจากปีต่อปี แต่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าชั้นโอโซนทั่วโลกจะฟื้นกลับสู่ระดับเดียวกับปี 1980 ได้ภายในราวปี 2040 ขณะที่รูโอโซนในบริเวณขั้วโลกใต้น่าจะฟื้นตัวสมบูรณ์ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้นจากภาวะโลกร้อน เช่น ไฟป่าและการปะทุของภูเขาไฟ อาจกลายเป็นปัจจัยใหม่ที่คุกคามชั้นโอโซนได้อีกในอนาคต ทำให้การลดการปล่อยสารเคมีทำลายโอโซนและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นภารกิจสำคัญที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อปกป้องเกราะป้องกันที่เปราะบางของโลกใบนี้ให้อยู่คู่มนุษยชาติต่อไป 

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์พบว่าการฟื้นตัวของชั้นโอโซน ซึ่งเดิมถือเป็นความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อม อาจกลับกระตุ้นให้โลกร้อนขึ้นได้ราว 40% ภายในช่วงกลางศตวรรษนี้ เหตุผลคือโอโซนแม้จะช่วยปกป้องโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) แต่ตัวมันเองก็เป็นก๊าซเรือนกระจกที่กักเก็บความร้อนได้ การที่ปริมาณโอโซนในชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวหลังการลดใช้สารเคมีทำลายโอโซน (เช่น CFCs และ HCFCs) จึงอาจทำให้พลังงานความร้อนสะสมในชั้นบรรยากาศมากขึ้น โดยแบบจำลองคอมพิวเตอร์คาดว่าการฟื้นตัวนี้จะเพิ่มพลังงานความร้อนราว 0.27 วัตต์ต่อตารางเมตร ซึ่งมากพอจะทำให้โอโซนกลายเป็นก๊าซเรือนกระจกสำคัญอันดับสองรองจากคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂)

ยิ่งไปกว่านั้น มลพิษทางอากาศที่ก่อให้เกิดโอโซนใกล้พื้นดิน เช่น ควันจากยานพาหนะและโรงงาน ก็ยิ่งทำให้ปริมาณโอโซนโดยรวมเพิ่มขึ้น ส่งผลให้โลกร้อนเร็วขึ้นกว่าที่คาด นักวิจัยจึงเตือนว่าแม้การฟื้นตัวของชั้นโอโซนจะเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพและระบบนิเวศของโลก แต่ควรดำเนินควบคู่กับการลดมลพิษทางอากาศและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เพื่อไม่ให้ความสำเร็จในการกอบกู้ชั้นโอโซนกลายเป็นตัวเร่งให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงกว่าเดิม

ที่มา : European Environment Agency's  / scitechdaily

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

related