SHORT CUT
เมื่อผู้นำประเทศสี่คน จากสี่มุมโลก ได้แสดงให้เห็นถึงสี่วิสัยทัศน์และประสบการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประเด็นด้านวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ถูกนำขึ้นมาถกเถียงในระหว่างการประชุมของสหประชาชาติอีกครั้งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อผู้นำสหรัฐฯ จีน ตูวาลู และบราซิล ต่างออกมากล่าวถึงมุมมองของตนต่อภาวะโลกร้อน ปัญหาที่ใหญ่และเร่งด่วนที่สุดของผู้คนทั่วโลก แต่ทัศนคติของผู้นำประเทศกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ผู้นำสหรัฐฯ : โลกร้อนเป็นแค่เรื่องหลอกลวง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา คือผู้ที่เริ่มต้นกล่าวถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการให้ความเห็นที่ขัดแย้งกับนักวิทยาศาสตร์และผู้นำโลกคนอื่นๆ โดยทรัมป์กล่าวว่า
"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ถือเป็นการหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกเคยก่อขึ้น"
พร้อมชี้ให้เห็นว่า การคาดการณ์ล่วงหน้าทั้งหมดที่สหประชาชาติและหน่วยงานอื่นๆ เคยคาดการณ์ไว้ บ่อยครั้งมักไม่มีเหตุผล และหลายครั้งเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาด เกิดจากความโง่เขลาที่ทำให้หลายประเทศต้องสูญเสียทรัพย์สมบัติมหาศาลและพลาดโอกาสที่จะประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ หากยังไม่หลุดพ้นจากคำโกหกสีเขียวนี้ ประเทศเหล่านั้นจะประสบแต่ความล้มเหลว
นอกจากนี้ทรัมป์ยังประณามการสร้างกังหันลมและการนิยามมันว่าเป็น 'พลังงานหมุนเวียน' นั้น เป็นเรื่องตลก เพราะมันใช้งบประมาณที่แพงเกินไป ไม่มีความแข็งแรงมากพอ และใช้งานไม่ได้จริง
ผู้นำจีน: พลังงานสีเขียวคือการลงทุน
แม้จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด แต่ล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ได้ให้คำมั่นเป็นครั้งแรกว่า จะลดมลพิษที่ทำให้โลกร้อนลง 7% ถึง 10% จากระดับสูงสุดภายในทศวรรษหน้า
สียังเรียกร้องด้วยว่า "ประชาคมระหว่างประเทศควรมุ่งเน้นการดำเนินการในทิศทางที่ถูกต้อง และมุ่งมั่นอย่างไม่ลดละ เพราะนี่คือยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสีเขียวและคาร์บอนต่่ำ"
ขณะที่ทรัมป์ปฏิเสธที่จะยอมรับพลังงานหมุนเวียน แต่จีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิง กลับกลายเป็นผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ทั้งยังใช้โครงการ Belt and Road Initiative เพื่อช่วยนำเทคโนโลยีนี้ไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา โดยสัญญาว่าจะมีการลงทุนสีเขียวเพิ่มมากขึ้นทั้งในตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ
ผู้นำตูวาลู: เหยื่อเคราะห์ร้ายของสภาพอากาศ
ในฐานะประเทศเกาะขนาดเล็ก ตูวาลูที่มีจำนวนประชากรราวๆ 9,600 คน แทบจะไม่มีส่วนร่วมในการปล่อยมลพิษที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติสภาพภูมิอากาศ แต่กลับเป็นหนึ่งในดินแดนที่ต้องแบกรับผลกระทบจากวิกฤตินี้อย่างรุนแรงที่สุด
นายกรัฐมนตรีเฟเลติ เตโอ แห่งตูวาลู เผยว่า ที่ผ่านมาประเทศของเขาต้องเฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มขึ้น หวาดระแวงที่ต้องเห็นชายหาดกำลังถูกกลืนหายไปเรื่อยๆ เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจทำลายประเทศของเขาได้อย่างแท้จริง
“เราสามารถมองเห็นความแตกต่างในแง่ของระดับน้ำทะเลได้อย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของพวกเราตอนนี้ ไม่ใช่แค่สถานการณ์สมมติ”
เตโอกล่าวแย้งต่อความคิดเห็นของทรัมป์ว่า วิกฤติโลกร้อนคือสิ่งที่เห็นได้ชัดและพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาตร์ซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเหตุใดมันจึงถูกโต้แย้งโดยประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา
เช่นเดียวกับจีน ตูวาลูได้ยื่นแผนการต่อสู้กับสภาพอากาศ โดยมีประเด็นสำคัญคือการปล่อยก๊าซคาร์บอนภายในทศวรรษนี้
ผู้นำบราซิล: กำแพงไหนก็ขวางกั้นภัยพิบัติไม่ได้
ประธานาธิบดีบราซิล ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา กล่าวย้ำว่า กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องจริง และการประชุมว่าด้วยสภาพอากาศที่กำลังจะมีขึ้นในบราซิลจะต้องเป็นช่วงเวลาสำคัญในการหลีกเลี่ยง 'วัฏจักรแห่งความไม่ไว้วางใจ' ที่จะทำให้การดำเนินงานทั้งหมดกลายเป็นอัมพาต
“กำแพงกั้นชายแดนไม่อาจหยุดยั้งภัยแล้งหรือพายุได้ ธรรมชาติไม่เคยยอมจำนนต่อระเบิดหรือเรือรบ ไม่มีประเทศใดเหนือกว่าประเทศอื่นเมื่อเผชิญกับวิกฤตินี้”
เขายังพูดถึงการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานหมุนเวียนว่า เป็นการเปิดประตูสู่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและการผลิตที่เทียบได้กับการปฏิวัติอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตามมีการตั้งข้อสังเกตุว่าครอบครัวของผู้นำบราซิลซึ่งวางตัวเป็นนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักปฏิบัตินิยม กลับสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงในพื้นที่ป่าอะเมซอนด้วย