svasdssvasds

COP30 เวทีโลกในวันที่ไร้เงาสหรัฐฯ กับ 5 สาระการประชุมที่น่าจับตามอง

COP30 เวทีโลกในวันที่ไร้เงาสหรัฐฯ กับ 5 สาระการประชุมที่น่าจับตามอง

สรุปประเด็น COP30 เวทีใหญ่แก้โลกเดือด มีประเด็นอะไรที่น่าจับตามองบ้าง การที่สหรัฐฯถอนตัวในครั้งนี้ เนื่องจากผู้นำอย่างทรัมป์ไม่เชื่อว่าโลกร้อน จะส่งผลอย่างไรต่อท่าทีนานาประเทศ

COP30 คืออะไร สำคัญอย่างไร?

COP30 คือเวทีประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 30 หรือเรียกได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ที่รวมตัวเหล่าผู้นำโลกมาช่วยกันหาวิธีแก้โลกร้อน ซึ่งเจ้าภาพในปีนี้คือ ประเทศบราซิล

Cr.Reuters

การประชุมได้เริ่มขึ้นแล้ว และจะดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งสัปดาห์ ณ เมืองเบเลง ประเทศบราซิล โดยเวที COP30 ในปีนี้ถือว่าเป็นการประชุมครั้งสำคัญเนื่องจากครบรอบ 10 ปี หลังจากประเทศภาคีร่วมลงนามในข้อตกลงปารีสเมื่อปีค.ศ. 2015 เราจะมาทบทวนกันว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราคืบหน้าไปมากน้อยแค่ไหนกับความพยายามในการลดโลกร้อน รวมถึงเป้าหมายในอนาคตอันใกล้ที่ต้องเร่งเครื่องกันแล้ว

ประเด็นที่น่าจับตามองใน COP30

1.เส้นตาย NDCs ใหม่

ปี 2025 เป็นปีเดดไลน์ที่ทุกประเทศต้องยื่นแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่ประเทศกำหนด (National Determined Contributios-NDCs) ฉบับใหม่ หรือที่เรียกว่า NDC 3.0 (แผนการลดสำหรับปี 2025-2035) ที่แต่ละประเทศต้องมีความทะเยอทะยานและเข้มข้นมากกว่าแผนเดิม เพื่อบรรลุเป้าไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส เช่น

  • จีนตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 7-10% จากระดับสูงสุดให้ได้ภายในปี 2035
  • สหภาพยุโรป จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้ได้ 66.25%-72.5% จากระดับเรือนกระจกในปี 1990 ภายในปี 2035
  • บราซิลจะลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 59%-67% จากระดับปี 2005 ภายในปี 2035
  • ญี่ปุ่น จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 60% จากระดับปี 2013 ภายในปี 2035
  • ไทยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% จากปริมาณที่ปล่อยจริงในปี 2019 ให้ได้ภายในปี 2035 รวมถึงกำหนดเพดานจำกัดที่ชัดเจนขึ้น เช่นต้องปล่อยไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

2.บราซิลริเริ่มจัดตั้งกองทุนป่าไม้เขตร้อนตลอดไป (TFFF)

นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพแล้ว ปีนี้ บราซิลมีไอเดียใหม่ นำโดยประธานาธิบดี ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา ที่ได้ริเริ่มกลไกทางการเงินใหม่ขึ้นคือ การจัดตั้งกองทุนป่าไม้เขตร้อนตลอดไป (Tropical Forests Forever Facility- TFFF)

ประธานาธิบดีบราซิล ลูอิส อีนาซียู ลูลา ดา ซิลวา Cr.Reuters

โดยกองทุนจะรวบรวมเงินลงทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชน เน้นนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความยั่งยืน เช่น พันธบัตรตลาดเกิดใหม่ และใช้ผลตอบแทนจากการลงทุน มาจ่ายเป็นรางวลัให้กับประเทศที่อนุรักษ์ป่า โดยมีเป้าหมายระดมทุนให้ได้ประมาณ 125 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

การจ่ายผลตอบแทน จะเป็นการจ่ายตามผลลัพธ์ให้กับประเทศป่าไม้เขตร้อนที่ประสบความสำเร็จในการรักษาหรือฟื้นฟูป่าไม้ โดยอาจจ่ายในอัตราประมาณ 4 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อเฮกตาร์ ของพื้นที่ป่าที่คงอยู่ และมุ่งเน้นจ่ายโดยตรงไปยังชุมชนท้องถิ่นหรือชนพื้นเมือง ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้พิทักษ์ป่าที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

กองทุน TFFF ดังกล่าว ได้รับการรับรองและสนับสนุนทางการเมืองจาก 53 ประเทศแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะประเทศป่าไม้เขตร้อน อาทิ บราซิล อินโดนีเซีย สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก โคลอมเบียฯ ประเทศที่ให้คำมั่นทางการเงินแล้ว เช่น นอร์เวย์ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ และเยรมนี รวมถึงประเทศที่ให้การสนับสนุนทางการเมือง ได้แก่ ฝรั่งเศส จีน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

อย่างไรก็ตาม แม้กองทุนดังกล่าวจะได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวาง แต่ภาคประชาสังคมและชนพื้นเมืองจำนวนมาก ก็ได้แสดงออกถึงความกังวล และเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยมองว่านี่อาจเป็นกับดักใหม่ของประเทศในซีกโลกใต้มีความเสี่ยงด้านการเงินการลงทุน เนื่องจากโมเดลนี้พึ่งพาเงินลงทุนที่มีผลตอบแทน ซึ่งถ้าหากกองทุนทำผลงานได้ไม่มี เงินที่อาจจะได้ก็น้อยลง แม้ประเทศนั้น ๆ จะบรรลุเป้าหมายตามสัญญา และอาจเป็นไปได้ที่เงินอาจถูกนำไปลงทุนกับโครงการที่อ้างว่าสะอาด ซึ่งในทางกายภาพ ก็ไม่ได้สะอาดจริงดังคำโฆษณา

Cr.Reuters

นอกจากนี้การจ่ายเพียง 4 ดอลลาร์ต่อเฮกตาร์พื้นที่ป่า อาจไม่เพียงพอ และไม่ได้แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นสาเหตุของการทำลายป่าอย่างแท้จริง เช่น การขาดความมั่นคงในสิทธิที่ดิน และการทำลายป่าโดยบริษัทข้ามชาติจากประเทศที่พัฒนาแล้ว

3.กำหนดเป้าหมายการเงินใหม่ (NCQG)

การประชุมนี้จะมุ่งเน้นไปที่การหารือเพื่อสรุปเป้าหมายการระดมทุนจากประเทศร่ำรวย (NCQG-New Collective Quantified Goal) เพื่อให้ประเทศยากจนหรือประเทศกำลังพัฒนาสามารถรับมือและปรับตัวให้อยู่รอดปลอดภัยและยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว รวมถึงมีความสามารถในการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรม เช่น เป้าหมายเดิมคือ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ปีนี้ดูเหมือนมีเป้าจะขยายให้เป็น 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2035 แล้วต้องสรุปให้จบในปีนี้

ชาวบ้านในบังคลาเทศขนบ้านหนี หลังแม่น้ำกัดเซาะ ทำให้ไร้ที่อยู่อาศัย Cr.Reuters

4.เร่งขับเคลื่อนกองทุนความสูญเสียและความเสียหาย

แม้กองทุนความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage Fund) จะถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ COP28 แต่ COP30 จะเน้นไปที่การหารือเกี่ยวกับกลไกการทำงาน และการระดมทุนที่ยั่งยืน เพื่อช่วยเหลือประเทศเปราะบางที่ประสบภัยพิบัติทางภูมิอากาศ สิ่งที่ต้องจับตาในเรื่องนี้คือความคืบหน้าในการหาแหล่งทุนที่เชื่อถือได้ และกำหนดว่าใครคือผู้มีสิทธิที่ได้รับเงินทุน อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว ให้สอดคล้องกับวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้กองทุนเป็นเพียงกล่องเปล่า

5.การหายตัวไปของสหรัฐฯกลายเป็นที่จับจ้องจากนานาประเทศ

สหรัฐอเมริกา ผู้เล่นตัวสำคัญที่สุด เลือกที่จะไม่เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ หลังจากการนำโดยโดนัล ทรัมป์ ที่ประกาศให้โลกรู้ว่า สหรัฐได้ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส นั่นทำให้เก้าอี้ของสหรัฐในเวทีนี้ว่างเปล่า

Cr.Reuters

การหายไปของสหรัฐอเมริกา หมายความว่าอย่างไร? นักวิเคราะห์หลายสำนักชี้ว่า นี่คือการตอกย้ำนโยบาย America First ที่ยึดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก แต่ในอีกมุมหนึ่ง นโยบายดังกล่าวได้เปิดโอกาสให้ผู้เล่นรายอื่นก้าวขึ้นมาทำหน้าที่แทน

นั่นจึงทำให้สปอร์ตไลท์สาดส่องไปยังผู้เล่นลำดับถัดไป นั่นคือ ประเทศจีน ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสีเขียว ในขณะที่ทรัมป์ เลือกเส้นทางเพิ่มอัตราการขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิล

จีนซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ของรถยนต์ไฟฟ้า โซลาร์เซลล์ และกังหันลม ปีนี้มีท่าทีที่แข็งขันในการเดินหน้าเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน แม้ว่าจะจีนจะยังครองตำแหน่งผู้ปล่อยมลพิษมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกก็ตาม

นอกจากนี้ จีนยังผลักดันให้ยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้า (ซึ่งตรงนี้อาจมีนัยถึงสหรัฐฯ) เพื่อสนับสนุนให้เทคโนโลยีสะอาดเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นให้การสนับสนุนกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา นั่นจึงทำให้มาตรการนี้ กลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เติมเต็มช่องว่างที่สหรัฐทิ้งไว้อย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม การไร้เงาสหรัฐฯ ก็ไม่ได้หมายความว่าอเมริกาจะไร้อำนาจในเวทีนี้ รายงานจาก The Guardian เผยว่า สหรัฐฯพยายามใช้กลยุทธ์กลั่นแกล้งและข่มขู่หลายประเทศ ในการประชุมองค์การทางทะเลระหว่างประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังในที่ประชุมหารือกันเรื่องการจัดเก็บภาษีคาร์บอนที่เกิดขึ้นจากการเดินเรือ โดยผู้แทนหลายคนได้รับโทรศัพท์หรืออีเมลข่มขู่ว่าหากพวกเขาลงคะแนนเสียงเห็นชอบ อาจมีการโต้ตอบตามมา ที่ไม่เพียงแค่มาตรการทางการค้า แต่ยังรวมถึง การเพิกถอนวีซ่าอีกด้วย และแน่นอน ผลคือ การประชุมถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลาหนึ่งปี เนื่องจากมีผู้แทนหลายรายเปลี่ยนจุดยืน

สุดท้าย นี่เป็นเพียงแค่ฉากเปิดของการประชุม COP30 ในปีนี้เท่านั้น ยังมีประเด็นที่น่าติดตามอีกหลายประเด็น สามารถจับตามอง COP30 ไปพร้อมกันกับ SPRiNG

related