ภัยแล้งในเตหะราน ทำให้น้ำเริ่มมีไม่พอใช้ เร่งบังคับให้อพยพหนีกว่า 10 ล้านคน
ถ้าฝนไม่ตกภายในเดือนธันวาคมนี้ ชาวอิหร่านกว่า 10 ล้านคนอาจต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน กรุงเตหะราน เมืองหลวงของอิหร่าน ประสบภัยแล้งมานานหลายปี ชาวบ้านเผย โลกร้อนซ้ำเติมการบริหารย่ำแย่ของรัฐบาล
เตหะราน เมืองหลวงของอิหร่านกำลังเผชิญกับวิกฤตน้ำครั้งที่เลวร้ายที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และปัญหานี้ อาจทำให้ชาวอิหร่านมากกว่า 10 ล้านคน ไม่สามารถอยู่อาศัยในเมืองหลวงได้อีกต่อไป
ปัญหาขาดแคลนน้ำในเตหะรานเริ่มก่อตัวขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว และได้เกิดการประท้วงเป็นระยะ ๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเกษตรกร ที่กล่าวหาว่า รัฐบาลบริหารจัดการน้ำผิดพลาด
พวกเขาเผยว่า วิกฤตน้ำในอิหร่าน หลังจากผ่านพ้นฤดูที่ร้อนระอุ ความจริงแล้ว ภัยแล้งไม่ได้เกิดจากฝนที่ตกน้อยเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลที่ผิดพลาดมาหลายสิบปี รวมถึงการสร้างเขื่อนที่มากเกินไป การขุดเจาะบ่อน้ำอย่างผิดกฎหมาย และการทำเกษตรกรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปริมาณน้ำสำรองลดลง
แม้ว่าจะยังไม่มีสัญญาณของการประท้วงโดยตรงเกี่ยวกับวิกฤตน้ำในครั้งนี้ แต่ชาวอิหร่านก็ต้องดิ้นรนใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ซึ่งสาเหตุมาจากการคว่ำบาตรที่เชื่อมโยงกับโครงการนิวเคลียร์ที่เป็นข้อพิพาทของประเทศ
วิกฤตน้ำกำลังเกิดขึ้นทั่วอิหร่าน ตั้งแต่ตึกระฟ้าในเมืองหลวงไปจนถึงเมืองเล็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกล เมื่อก๊อกน้ำในอพาร์ทเมนต์ทางตะวันออกของเตหะรานไร้น้ำเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งประชาชนไม่ได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าและไม่มีการสนับสนุนจากหน่วยงานใด ๆ
อย่างไรก็ตาม บริษัทน้ำของอิหร่านปฏิเสธรายงานการปันส่วนน้ำอย่างเป็นทางการ แต่ยืนยันว่า มีการลดแรงดันน้ำในตอนกลางคืนในกรุงเตหะราน และอาจลดลงเหลือศูนย์ในบางเขต นอกจากนี้ยังเตือนประชาชนเรื่องการบริโภคน้ำที่มากเกินไป เช่นในเดือนกรกฎาคม หน่วยงานน้ำระบุว่าในขณะนั้น 70% ของชาวเตหะรานใช้น้ำไปมากกว่ามาตรฐานถึง 130 ลิตรต่อวัน
เท่านั้นไม่พอ ชาวเตหะรานยังต้องเผชิญหน้ากับปัญหาขาดแคลนไฟฟ้า แก๊ส และน้ำอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนที่มีความต้องการสูงสุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“มันยากลำบากมาก ครั้งแล้วครั้งเล่า วันหนึ่งไม่มีน้ำ อีกวันหนึ่งไม่มีไฟฟ้า เราไม่มีแม้แต่เงินพอเลี้ยงชีพ นี่เป็นเพราะการบริหารที่ย่ำแย่” ชาห์ลา วัย 41 ปี ซึ่งเป็นทั้งครูและคุณแม่ลูกสามให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์ใจกลางเตหะราน
สถาบันวิจัยน้ำของอิหร่านกล่าวว่า ปริมาณน้ำฝนในปีที่แล้วต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 57 ปีของอิหร่านถึง 40% และมีการพยากรณ์อากาศว่าความแห้งแล้งจะยังคงดำเนินต่อไปในช่วงปลายเดือนธันวาคม
เมืองหลวงพึ่งพาอ่างเก็บน้ำ 5 แห่งที่รับน้ำมาจากนอกเมืองเป็นหลัก แต่ปริมาณน้ำที่ไหลเข้ากลับลดลงอย่างมาก โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ระดับน้ำลดลง 43% จากปีก่อน ทำให้เขื่อนอามีร์ คาบีร์เหลือเพียง 14 ล้านลูกบากศ์เมตร หรือคิดเป็น 8% ของความจุ
ครั้งหนึ่ง อ่างเก็บน้ำของเตหะราน ซึ่งเคยเก็บน้ำรวมกันได้เกือบ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันเก็บได้เพียง 250 ล้านลูกบากศ์เมตร ซึ่งลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง และด้วยอัตราการใช้น้ำในปัจจุบัน อาจหมดลงได้ภายในสองสัปดาห์
ไม่เพียงเท่านั้น วิกฤตการณ์นี้ได้แผ่ขยายออกไปไกลนอกเตหะราน เขื่อนขนาดใหญ่ 9 แห่งทั่วประเทศ หรือคิดเป็นประมาณ 10% ของเขื่อนทั้งหมดในอิหร่าน แห้งเหือด เช่น เมืองมัชฮัด เมืองศักดิ์สิทธิ์ของชาวชีอะห์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของอิหร่าน มีประชากร 4 ล้านคน ปริมาณน้ำสำรองลดลงต่ำกว่า 3%
โลกร้อนทำให้สูญเสียน้ำมากขึ้น
วิกฤตนี้ถูกซ้ำเติมมากขึ้น หลังจากอุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์และไฟฟ้าดับเป็นช่วง ๆ ในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม รัฐบาลต้องประกาศวันหยุดราชการเพื่อลดการใช้น้ำและพลังงาน และสั่งปิดอาคารสาธารณะและธนาคารบางแห่ง เนื่องจากอุณหภูมิสูงถึง 50 องศาเซลเซียสในบางพื้นที่
เจ้าหน้าที่เผยว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทำให้ปัญหาน้ำรุนแรงขึ้น โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้เกิดการระเหยเร็วขึ้นและสูญเสียน้ำใต้ดิน นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์บางฉบับได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาล โดยอ้างว่า เป็นเพราะมีการจัดตั้งผู้บริหารที่ไม่มีคุณสมบัติ และการนำการจัดการทรัพยากรมาเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาปฏิเสธคำกล่าวหาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกำลังใช้มาตรการชั่วคราว ในการอนุรักษ์น้ำที่เหลืออยู่ รวมถึงลดแรงดันน้ำในบางพื้นที่และถ่ายโอนน้ำจากแหล่งน้ำอื่นมายังเตหะราน แต่สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว ที่กระตุ้นให้ประชาชนติดตั้งถังเก็บน้ำ ปั๊ม และอุปกรณ์อื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักครั้งใหญ่ ประชาชนยังคงตั้งคำถามว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการแก้ไขที่น้อยเกินไป และอาจสายเกินไปที่จะแก้ไขให้กลับมาเหมือนเดิม
ที่มาข้อมูล
