
พาส่องความคืบหน้าพ.ร.บ.โลกร้อน ล่าสุด ‘ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช’ อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เกิดแน่! มั่นใจบังคับใช้ต้นปี’70 ยกระดับข้อมูลเสี่ยงภัย ระบบคาร์บอน
หลายฝ่ายกำลังจับตา และลุ้นว่า พ.ร.บ.โลกร้อน จะได้แจ้งเกิดอย่างเป็นทางการแบบจริงๆจังๆปีไหน ความคืบหน้าล่าสุด ‘ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช’ อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวในเวทีเสวนา “Climate Act: New Laws and Regulations, The Game Changer” ในงานสัมมนา SUSTAINABILITY FORUM 2026 Shift Forward: Overcoming Challenges โดยกรุงเทพธุรกิจ ว่ารัฐบาลได้ประกาศนโยบายเร่งเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยจากเดิมปี 2065 ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 ซึ่งหากไม่มีพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (พ.ร.บ.โลกร้อน) จะไม่มีเครื่องมือใหม่ที่ทำให้ทั้งหน่วยงานรัฐและประชาชนบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้
ทั้งนี้กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อประเด็นสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกฎหมายที่เน้นความสมดุล เพื่อให้ไทยสามารถสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่และแข่งขันกับโลกได้ โดยกำหนดให้มีระบบในการจัดการข้อมูลและการบริหารความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการปรับตัวในพื้นที่ต่างๆ นอกจากนี้จะเร่งการพัฒนาระบบข้อมูลคาดการณ์ภูมิอากาศ (Climate Projection) และจะมีการเพิ่มความละเอียดของข้อมูลจากระดับ 100×100 กิโลเมตร ให้เป็น 25×25 กิโลเมตร และในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจะละเอียดถึงระดับ 100 ตารางเมตร เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำมากขึ้น ทั้งด้านการเตือนภัยและการตอบสนองต่อเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียและลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจและประชาชน
อย่างไรก็ตามมองว่าหากไม่มีระบบที่ดี ประเทศจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องระดมกำลังจำนวนมากเพื่อรับมือเหตุการณ์ภัยพิบัติทุกปี ซึ่งไม่สามารถบริหารจัดการได้ในระยะยาว กฎหมายฉบับนี้จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างความสมดุลและรองรับการขับเคลื่อนของประเทศในอนาคต แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลก็ตาม
สำหรับหมวดที่ 4 ของร่างกฎหมายซึ่งว่าด้วยกองทุนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยระบุว่า กองทุนดังกล่าวสามารถนำเงินไปช่วยภาคเอกชน ภาคประชาชน ท้องถิ่น รวมถึงงานวิจัย โดยเงินที่เก็บจากคาร์บอนควรหมุนกลับไปใช้เพื่อลดคาร์บอนหรือรองรับภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นกลไกสำคัญในการปิดช่องว่างทางการเงินสำหรับเทคโนโลยีลดคาร์บอนที่มีราคาสูง
ในส่วนของผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตที่อาจสูงขึ้นจากการบังคับลดคาร์บอน จึงจำเป็นต้องออกแบบกลไก Thailand CBAM เพื่อสร้างความสมดุลในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงการใช้ภาษีคาร์บอนเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการปรับพฤติกรรมผู้บริโภค โดยอ้างอิงราคาคาร์บอนที่เหมาะสมตามการประเมินของธนาคารโลก
ความคืบหน้าของร่างกฎหมาย โดยระบุว่าร่างได้ผ่านคณะรัฐมนตรีและเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างโดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ซึ่งคาดว่าจะสามารถบังคับใช้ได้ในต้นปี 2570