svasdssvasds

คาด "น้ำท่วมใหญ่รอบศตวรรษ" อาจถล่มสหรัฐฯ "ทุกปี" ใน 75 ปีข้างหน้า

คาด "น้ำท่วมใหญ่รอบศตวรรษ" อาจถล่มสหรัฐฯ "ทุกปี" ใน 75 ปีข้างหน้า

ผลการศึกษาใหม่เผยว่า พื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ อาจต้องรับมือกับอุทกภัยระดับทำลายล้างประจำทุกปี ในอีก 75 ปีข้างหน้า

ผลการศึกษาใหม่ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Earth’s Future เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ระบุว่า เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงจากอิทธิพลของพายุเฮอริเคน ซึ่งในอดีตเคยเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบ 100 ปีในพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ครอบคลุม รัฐคอนเนตทิคัต รัฐนิวยอร์กและรัฐนิวเจอร์ซีย์ อาจกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปีภายในสิ้นศตวรรษนี้

Cr.Reuters

ทีมนักวิจัยต้องการคาดการณ์ว่า พฤจิกรรมของพายุเฮอริเคนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ประกอบกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จะส่งผลทำให้ความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมในภูมิภาคนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในช่วงหลายทศวรรษข้างหน้า

ผลลัพธ์ที่น่าตระหนก

“อาเมียร์โฮเซน เบกโมฮัมมาดี” (Amirhosein Begmohammadi) วิศวกรโยธาและผู้เขียนนำของงานวิจัย ซึ่งทำโครงการนี้ในระหว่างการวิจัยหลังปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เปิดเผยกับ Live Science ว่า ผลการศึกษาเผยให้เห็นภาพที่น่ากังวล เนื่องจากภายในสิ้นศตวรรษนี้ ภัยคุกคามจากน้ำท่วมจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ทีมวิจัยได้พัฒนาระบบจำลองคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างพายุจำลองจำนวนมาก และผนวกคาดการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเข้าไปด้วย เพื่อทำนายความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วมภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับต่าง ๆ

Cr.Reuters

นอกจากนี้ นักวิจัยปรับแบบจำลองให้คำนึงถึงองศาที่พายุจะพัดเข้าฝั่ง เนื่องจากตามปกติแล้ว พายุเฮอริเคนส่วนใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ มักจะเคลื่อนตัวขนานกับชายฝั่ง แต่มีบางลูก เช่น เฮอริเคนแซนดี้ในปี 2012 ที่พัดเข้าปะทะโดยตรงและสร้างความเสียหายมากกว่าอย่างมหาศาล ซึ่ง “เบกโมฮัมมาดี” ระบุว่า กรณีนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงแต่เกิดขึ้นได้ยาก

การคาดการณ์ความถี่ของภัยพิบัติ

ผลการจำลองบ่งชี้ว่าระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและลักษณะของพายุที่เปลี่ยนแปลงไป อาจทำให้น้ำท่วมรุนแรงเกิดบ่อยครั้งขึ้น โดยเหตุการณ์น้ำท่วมชายฝั่งที่ตามสถิติจะเกิดขึ้นหนึ่งครั้งในรอบ 100 ปี อาจเกิดขึ้นทุกปีภายในสิ้นศตวรรษนี้

ขณะที่อุทกภัยในรอบ 500 ปี อาจเกิดขึ้นทุก 1 – 60 ปี ภายใต้สถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนระดับปานกลางและอาจเกิดขึ้นได้ทุก 1 ถึง 20 ปี หากมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระดับที่สูง

Cr.Reuters

โดยปัจจัยขับเคลื่อนความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ สำหรับพื้นที่ตอนบน อย่าง รัฐคอนเนตทิคัตและรัฐนิวยอร์กนั้น  ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจเป็นปัจจัยหลักที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดน้ำท่วม ส่วนการเปลี่ยนแปลงของพายุเป็นปัจจัยที่มีผลรองลงมา

ส่วนพื้นที่ที่อยู่ตอนใต้กว่า เช่น รัฐนิวเจอร์ซีย์และรัฐเวอร์จิเนีย ทั้งระดับน้ำทะเลและความเปลี่ยนแปลงของพายุจะเป็นปัจจัยที่มีผลสำคัญต่อความเสี่ยงน้ำท่วมที่สูงขึ้น

ความไม่แน่นอน คือ "มนุษย์"

“เจฟฟ์ โอลเลอร์เฮด” (Jeff Ollerhead) นักธรณีสัณฐานวิทยาชายฝั่งจากมหาวิทยาลัย Mount Allison ในแคนาดา ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับงานวิจัย ให้ความเห็นว่า การศึกษาใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่าความไม่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวแปรที่สำคัญน้อยที่สุดในการคาดการณ์ความเสี่ยงสภาพภูมิอากาศในอนาคต พร้อมเสริมว่า ความผันแปรส่วนใหญ่ในแบบจำลองเกิดจาก “ความไม่แน่นอนทางสังคม” ว่าโลกจะเลือกเส้นทางในการการปล่อยมลพิษแบบใด ไม่รู้ว่ามนุษย์จะทำอย่างไร โดยอ้างอิงถึงการตอบสนองของผู้นำทางการเมืองต่อวิกฤตภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความไม่แน่นอนที่ใหญ่ที่สุด

งานวิจัยใหม่มุ่งเน้นที่ความรุนแรงและความถี่ของพายุเฮอริเคน แต่นักธรณีสัณฐานวิทยาชายฝั่งรายนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า สำหรับพื้นที่ชายฝั่งตอนเหนือ ผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้แทบจะไม่สำคัญด้วยซ้ำพายุจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ เนื่องจากพายุลูกเล็ก ๆ ก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงเป็นวงกว้างได้ ดังนั้น ต่อให้ความถี่และความแรงของพายุเท่าเดิม ผลกระทบของพายุแต่ละลูกก็จะรุนแรงขึ้นเมื่อระดับน้ำทะเลสูงขึ้นเรื่อย ๆ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ เฮอริเคนฟิโอนา (Hurricane Fiona) ที่พัดถล่มชายฝั่งแอตแลนติกของแคนาดาในปี 2022 และก่อให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง ความสูงเกือบ 2 เมตร แต่หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอีก 1 เมตร ในอีกประมาณ 50 ปีข้างหน้า พายุที่มีความรุนแรงเพียงครึ่งหนึ่งของเฮอริเคนฟิโอนา ก็สามารถสร้างความเสียหายในระดับเดียวกันได้

Cr.Reuters

การเตรียมพร้อมรับมือและการปรับตัว

เพื่อเตรียมตัวสำหรับความจริงใหม่นี้ ผู้ที่อาศัยอยู่ใกล้ชายฝั่งต้องปรับตัวกับความถี่ของน้ำท่วมที่จะเกิดบ่อยขึ้น ซึ่ง โอลเลอร์เฮด” แนะนำว่าวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการย้ายขึ้นที่สูงและถอยร่นจากฝั่ง อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกชุมชนที่จะยินดีทำหรือสามารถย้ายได้ ดังนั้น การปรับปรุงมาตรฐานการก่อสร้างอาคาร ให้เหมาะสมสภาวการณ์ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ

ด้าน “เบกโมฮัมมาดี” ทิ้งท้ายว่า ผู้ที่ออกแบบโครงสร้างเพื่อความทนทานของอาคารในปัจจุบัน มักออกแบบโดยอิงเกณฑ์เหตุการณ์รอบ 100 ปี แต่ไม่ได้ออกแบบเผื่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ดังนั้น เหตุการณ์ 100 ปี ในวันนี้ จึงจะไม่เหมือนกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ที่มาข้อมูล

Live Science

related