
SHORT CUT
ทีมกู้ภัยของอินโดนีเซียยังคงเร่งเร่งรุดไปยังชุมชนต่างๆ ที่ถูกตัดขาดจากภัยน้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 700 ราย และยังสูญหายอีกกว่า 900 คน
นี่อาจเป็นปีแห่งอุทกภัยของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หลายประเทศต่างเผชิญน้ำท่วมในช่วงเวลาเดียวกัน มีรายงานผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้วมากกว่า 1,400 ราย ซึ่งรวมถึงอย่างน้อย 780 รายในอินโดนีเซีย 465 รายในศรีลังกา 185 รายในไทย และอีก 3 รายในมาเลเซีย ขณะที่หมู่บ้านหลายแห่งยังคงถูกฝังอยู่ใต้โคลนและซากปรักหักพัง ไฟฟ้าและการสื่อสารโทรคมนาคมยังคงขัดข้อง
แม้จะสามารถระดมปฏิบัติการกู้ภัยที่ครอบคลุม จัดเตรียมทรัพยากรทางทหาร และจัดสรรเงินทุนฉุกเฉินได้ แต่อินโดนีเซียก็ยังคงกลายเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ถนนที่ถูกน้ำพัดพังและสะพานที่พังทลาย ทำให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องดิ้นรนเพื่อเข้าถึงพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดในจังหวัดสุมาตราเหนือ สุมาตราตะวันตก และอาเจะห์
ปัญหาการขาดแคลนอาหาร เชื้อเพลิง และน้ำสะอาด กลายเป็นปัญหาที่แพร่หลายหลังจากพายุไซโคลนพัดถล่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ติดต่อกันหลายครั้ง มีผู้คนต่อแถวยาวเหยียดที่ปั๊มน้ำมัน และมีรายงานการปล้นสะดมเกิดขึ้นกับร้านค้าต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมด้วย
ด้านรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของอินโดนีเซีย ได้ออกมาแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ที่ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือวิกฤตโลกร้อนจากน้ำมือมนุษย์ คือตัวการหลักที่ทำให้เกิดภัยพิบัติที่รุนแรงขนาดนี้ เห็นได้ชัดจากพื้นที่ป่าไม้ในสามจังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
วิกฤตครั้งนี้ยังจุดชนวนให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อปัญหาการใช้ที่ดิน โดยเฉพาะการทำเหมืองและการเกษตรที่มากเกินไป จนทำให้ผืนดินสูญเสียความสามารถในการดูดซับน้ำฝน
ขณะที่รัฐบาลเผชิญแรงกดดันจากประชาชนและหน่วยงานท้องถิ่นให้ประกาศภัยพิบัติระดับชาติเพื่อระดมความช่วยเหลือเพิ่มเติม แต่รัฐบาลยังคงต่อต้าน เพราะเกรงว่าสถานการณ์จะดูย่ำแย่ สร้างความโกรธเคืองให้ประชาชนที่กำลังรอความช่วยเหลืออย่างสิ้นหวัง เพราะหน่วยงานท้องถิ่นยืนยันแล้วว่าพวกเขาไม่สามารถจัดการวิกฤตนี้เพียงลำพังได้