
เมื่อน้ำท่วมหาดใหญ่ลดลง สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่แค่ซากปรักหักพัง แต่คือ "ขยะภัยพิบัติ" กองภูเขาขยะมหึมาที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นตัน ที่หลายคนตั้งคำถาม จะมีวิธีการกำจัดอย่างไร
รู้หรือไม่ว่า “ขยะภัยพิบัติ (Disaster Debris)” ที่เกิดขึ้นหลังน้ำท่วมแต่ละครั้ง สามารถมีปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 5-10 เท่า ของขยะมูลฝอยปกติในพื้นที่นั้น ๆ เพราะมันรวมมวลขยะหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นขยะชิ้นใหญ่ ขยะอันตราย หรือซากสัตว์ ตัวเลขล่าสุดในสงขลาที่ประสบมหาอุทกภัยคาดการณ์ว่าอาจจะมากเกิน 30,000 ตัน หากไม่รีบจัดการ ขยะเหล่านี้จะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และเมื่อโคลนแห้งก็จะกลายเป็นแหล่งผลิตฝุ่น ไม่ต่างอะไรกับเจอภัยพิบัติซ้ำอีก เพียงแต่เราไม่ได้ต่อสู้กับน้ำ แต่กำลังต่อสู้กับ ขยะพลาสติกและสิ่งปฏิกูล ซากความเสียหายที่รอวันทำลายสิ่งแวดล้อม
กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ชี้ให้เห็นว่า วันนี้จังหวัดสงขลาได้ถอดบทเรียนจากพื้นที่ประสบภัยที่ผ่านมา และใช้หลักการในการจัดการขยะน้ำท่วมหาดใหญ่ โดยมีมาตรการ "ไม่ต้องคัดแยก" ช่วยลดภาระทางใจ “ประชาชนกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ท่ามกลางความยุ่งยาก ดังนั้น ก็ไม่ต้องให้ประชาชนคัดแยกขยะเอง เจ้าหน้าที่จะคัดแยกให้” เพื่อจัดการให้เร็วที่สุด
การติดตามการฟื้นฟูและจัดเก็บขยะหลังน้ำท่วม จ.สงขลา วันที่ 1 ธันวาคม 2568 รวบรวมขยะได้ทั้งหมด 8,001 ตัน แยกเป็น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบจ.สงขลา) จะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บขยะออกจากพื้นที่ให้เร็วที่สุด มีการกำหนดจุดรับขยะชั่วคราวไว้ 3 แห่ง อย่าง สะพานดำ และ ชุมชนบ้านหัก รวมไปถึงสถานที่ทิ้งชั่วคราวใหม่ใกล้กับไซส์ขยะเดิมของหาดใหญ่ ซึ่งที่จุดเหล่านี้ มีเจ้าหน้าที่คัดแยกให้ โดยขยะพิเศษอย่างซากสัตว์ ก็ต้องติดต่อด่านกักกันสัตว์เพื่อนำไปเผาในเตาเฉพาะ ส่วนขยะอันตราย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า มีศูนย์ซ่อมฟรีรองรับ
ถึงแม้ว่ามาตรการนี้ช่วย "ลดภาระ" ทางจิตใจและกายภาพของประชาชนได้จริง แต่ในระยะยาว นี่อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายทาง เพราะที่ผ่านมาจ.สงขลามีปัญหา "วิกฤตขยะล้นเมือง" อยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะที่เทศบาลนครหาดใหญ่ บ่อฝังกลบหลายแห่งเต็มหรือล้นบ่อไปแล้ว ขณะที่ บางแห่งก็ปิดไปแล้วเพราะส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่
ต้องยอมรับว่าปริมาณขยะภัยพิบัติขนาดนี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทำงานหนักขึ้นภายใต้งบประมาณและพื้นที่จำกัด ซึ่งอาจส่งผลให้การจัดการขยะไม่เป็นไปตามมาตรฐานในระยะยาว
ขยะภัยพิบัติ ไม่ได้เป็นเพียงแค่กองขยะที่ส่งกลิ่นเหม็น แต่คือ “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ที่ซ้ำเติมวิกฤตสิ่งแวดล้อม และกำลังจะขยายใหญ่ขึ้น เพราะ ภาวะโลกร้อน กำลังสร้างภัยธรรมชาติให้เกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
ปัญหาขยะภัยพิบัตินี้ต้องการการแก้ไขที่ยั่งยืนผ่านความร่วมมือเชิงรุกของทุกคน ไม่ใช่แค่รอหน่วยงานรัฐหรือใครคนใดคนหนึ่ง
คำถามสุดท้ายไม่ได้อยู่ที่ว่า "จะจัดการขยะกองนี้อย่างไรเท่านั้น" แต่คือ เราจะทำอย่างไรให้ขยะกองมหึมานี้ ไม่กลับมาซ้ำเติมวิกฤตสิ่งแวดล้อม และเราจะหยุดวงจรนี้ไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคตได้อย่างไร? นี่คือการต่อสู้กับความเสียหายที่เกิดจาก "โลกเดือด" ที่ต้องการทางออกที่ยั่งยืนกว่าแค่การเก็บกวาด