ปัจจุบันพลังงานหมุนเวียนกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากทั่วโลกและทุกภาคส่วนรวมถึงภาคประชาชนหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน ซึ่งมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานจากคลื่นน้ำ โดยเฉพาะการผลิตพลังงานจากโซลาร์เซลล์พลังงานแสงอาทิตย์เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงการคมนาคมที่หันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าหรือรถ EV เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
เป็นที่รู้กับดีว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ซึ่งมนุษย์ใช้กันมานับร้อยๆ ปี ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภูมิอากาศของโลก ทำให้เกิดปัญหา Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้เกิดสภาวะเรือนกระจกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกปล่อยออกมาและเข้าไปปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
พลังงานหมุนเวียนจึงเป็นอีกหนทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) กล่าวว่า โลกกำลังมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เนื่องจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลจะเริ่มลดลงถาวรในปี 2030 และแนวโน้มของการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกก็กำลังเพิ่มสูงขึ้น และเชื้อเพลิงฟอสซิลน้อยลงเรื่อยๆ และควรเร่งมือลดการใช้น้ำมันซึ่งตอนนี้ถือว่ายังไม่มากพอที่จะไม่ให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นหรือโลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
Fatih Birol ผู้อำนวยการของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ เผยว่า พลังงานหมุนเวียน อย่าง พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานน้ำเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีที่ความต้องการน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินจะพีคไปถึงปี 2030 จากนั้นก็จะเริ่มลดลงเรื่อยๆ และไม่กลับสูงขึ้นมาอีกเลย
ที่มา : Science Alert / องค์การบริหารก๊าซเรือนกระจก
ภาพ : pixabay
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
เพิ่ม Spring News
ลงในหน้าจอหลักของคุณ