SHORT CUT
ราคาแบตเตอรี่ EV ลดลงถึง 20% ในปี 2024 นับเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2017 อย่างไรก็ตาม จีนยังคงมีความได้เปรียบด้านต้นทุน และแบตเตอรี่ก็กำลังกลายเป็นดาวเด่นในวงการยานยนต์
ราคาแบตเตอรี่ EV ทั่วโลกปรับตัวลดลงถึง 20% ในปี 2024 ซึ่งนับเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2017
ปัจจัยหลักมาจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด โดยเฉพาะในประเทศจีน รวมถึงราคาวัตถุดิบสำคัญอย่างลิเธียมที่ลดลงเกือบ 20% ในปี 2024 แม้ว่าความต้องการลิเธียมในปี 2024 จะสูงกว่าปี 2015 ถึง 6 เท่าก็ตาม
การลดลงของราคาแบตเตอรี่ EV เกิดขึ้นในทุกตลาด แต่จีนมีการลดลงของราคาที่รวดเร็วกว่าเกือบ 30% ขณะที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาลดลงประมาณ 10-15% ทำให้จีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันเพิ่มขึ้น
ปัจจัยที่ทำให้จีนลดต้นทุนได้รวดเร็วคือการแข่งขันที่ดุเดือด ซึ่งส่งผลต่ออัตรากำไรของผู้ผลิตส่วนใหญ่ ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการเข้าถึงแรงงานทักษะสูง
จีน ไม่ได้เป็นเพียงผู้นำด้านราคา แต่ยังเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่ของโลก โดยในปี 2024 จีนมีสัดส่วนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ถึง 80% ของโลก
ส่วนที่เหลือผลิตในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป เกาหลี และญี่ปุ่น นอกจากนี้ จีนยังครองตลาดส่วนประกอบแบตเตอรี่ โดยคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 85% ของวัสดุแคโทด และกว่า 90% ของวัสดุแอโนด (แกรไฟต์)
เทคโนโลยีแบตเตอรี่ก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอรอนฟอสเฟต (LFP) ซึ่งเป็นเคมีหลักที่ใช้ในจีน มีราคาถูกกว่าแบตเตอรี่ลิเธียมนิกเกิลแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ (NMC) ที่นิยมใช้ในสหรัฐฯ และยุโรป เกือบ 30% ต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh)
แม้ว่า NMC จะมีความหนาแน่นของพลังงานสูงกว่า แต่ LFP ก็ได้รับการพัฒนาจนมีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการใช้งาน EV ส่วนใหญ่ ทำให้ความได้เปรียบด้านต้นทุนมีความสำคัญมากขึ้น
ในปี 2024 แบตเตอรี่ LFP มีส่วนแบ่งเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดแบตเตอรี่ EV ทั่วโลก โดยจีนเป็นผู้นำการใช้ LFP ซึ่งตอบสนองความต้องการแบตเตอรี่ในประเทศเกือบ 3 ใน 4 ในสหภาพยุโรป
การใช้แบตเตอรี่ LFP เติบโตประมาณ 90% เป็นปีที่สองติดต่อกัน คิดเป็นสัดส่วนกว่า 10% ของตลาด EV ในสหภาพยุโรป ขณะที่ในสหรัฐฯ สัดส่วนยังคงต่ำกว่า 10% ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากภาษีนำเข้าแบตเตอรี่จากจีน
อย่างไรก็ตาม ตลาดเกิดใหม่อย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บราซิล และอินเดีย มีการใช้แบตเตอรี่ LFP ในรถยนต์ไฟฟ้าสูงถึงกว่า 50% ในปี 2024 โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และบราซิล
การเติบโตนี้มาจากการนำเข้ารถยนต์จากจีน โดยเฉพาะ BYD ส่วนในอินเดียมาจากการผลิตรถยนต์ในประเทศ นำโดย Tata Motors
รายงานของ IEA ยังเปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า แบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มีราคาสูงกว่าแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ต่อ kWh แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่ามากก็ตาม
เหตุผลคือต้นทุนคงที่ของส่วนประกอบต่างๆ เช่น ระบบจัดการแบตเตอรี่ จะถูกกระจายไปยังเซลล์แบตเตอรี่จำนวนน้อยกว่า ทำให้ราคาต่อ kWh สูงขึ้น ในปี 2024 ราคาเฉลี่ยของชุดแบตเตอรี่ PHEV ขนาด 20 kWh ใกล้เคียงกับราคาชุดแบตเตอรี่ BEV ขนาด 65 kWh
สหรัฐอเมริกา กำลังเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศ โดยกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ในปี 2024 ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนของบริษัทเกาหลีที่ได้รับแรงจูงใจจากเครดิตภาษี
ทำให้ปัจจุบันสหรัฐฯ มีกำลังการผลิตติดตั้งแซงหน้าสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยทางการเมืองและนโยบายที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตในอนาคต
แม้ว่าราคาแร่ธาตุที่สำคัญจะอยู่ในระดับต่ำในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลดีต่อต้นทุน EV ในระยะสั้น แต่ IEA เตือนว่าอาจส่งผลให้การลงทุนในเหมืองแร่ในอนาคตลดลง และอาจนำไปสู่ภาวะขาดแคลนลิเธียมและนิกเกิลภายในปี 2030 ได้
ที่มา : IEA