svasdssvasds

Ford ลงทุน 2,000 ล้าน ทิ้งสายพาน ปั้น Assembly Tree สู้ศึก EV จีน

Ford ลงทุน 2,000 ล้าน ทิ้งสายพาน ปั้น Assembly Tree สู้ศึก EV จีน

Ford กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ ลงทุนเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยกระดับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด ลดต้นทุนและเวลา สร้างรถ EV ราคาประหยัดท้าชนคู่แข่งจีน

SHORT CUT

  • Ford ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อเปลี่ยนระบบการผลิตจาก "สายพาน" แบบดั้งเดิมเป็น "Assembly Tree" เพื่อเพิ่มความเร็วและลดต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลงอย่างมาก
  • การเปลี่ยนแปลงของ Ford ครั้งนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาเข้าถึงได้ง่าย สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตจากจีนที่กำลังครองตลาดโลกด้วยราคาที่ต่ำกว่า
  • Ford กำลังเดิมพันอนาคตของบริษัทด้วยรถกระบะ EV รุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในปี 2027 ซึ่งจะเป็นผลผลิตแรกจากกระบวนการผลิตใหม่นี้ และอาจเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของบริษัทในยุคยานยนต์ไฟฟ้า

Ford กำลังเดิมพันครั้งใหญ่ ลงทุนเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยกระดับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ทั้งหมด ลดต้นทุนและเวลา สร้างรถ EV ราคาประหยัดท้าชนคู่แข่งจีน

Ford กำลังเดิมพันครั้งประวัติศาสตร์ ปฏิวัติกระบวนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ครั้งใหญ่ โดยบริษัทกำลังจะเลิกใช้ระบบ 'สายพาน' ที่เป็นมรดกของเฮนรี ฟอร์ด มานานกว่าศตวรรษ

CREDIT : Ford

แนวคิดใหม่ที่จะมาแทนที่สายพานแบบดั้งเดิม เรียกว่า "Assembly Tree" ซึ่งจะช่วยให้ฟอร์ดสามารถสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาเข้าถึงได้ และสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตสัญชาติจีนที่กำลังครองตลาดโลก

CREDIT : Ford

ปัจจุบัน Ford กำลังเผชิญความท้าทายอย่างหนักจากการแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิต EV จากจีน ซึ่งสามารถผลิตรถยนต์ในต้นทุนที่ต่ำกว่า

ส่งผลให้รถ EV จีนในตลาดโลกมีราคาเริ่มต้นเพียง 500,000 - 700,000 บาท ในขณะที่รถยนต์ของ Ford มีราคาเฉลี่ยสูงถึง 1.5 - 2 ล้านบาท

CREDIT : Ford

จิม ฟาร์ลีย์ (Jim Farley) ซีอีโอของ Ford ยอมรับว่า 'นี่คือความได้เปรียบที่ไม่อาจมองข้าม' และเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้บริษัทจำเป็นต้อง "เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่"

เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ Ford ได้ลงทุนเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์ ในการปรับปรุงโรงงานที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ เพื่อนำระบบ "Assembly Tree" มาใช้ แทนที่จะประกอบรถยนต์บนสายพานเส้นเดียวแบบดั้งเดิม

ระบบใหม่จะแยกการประกอบออกเป็น 3 ส่วนหลักพร้อมกัน ได้แก่ ส่วนหน้า, ส่วนหลัง และส่วนแบตเตอรี่ที่เป็นโครงสร้างของตัวรถ ก่อนจะนำทั้งสามส่วนมารวมกันในขั้นตอนสุดท้าย

CREDIT : Ford

แนวทางนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากทีม "skunkworks" ที่ Ford ตั้งขึ้นในแคลิฟอร์เนีย เพื่อคิดค้นนวัตกรรมนอกกรอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดความซับซ้อนและต้นทุนการผลิตลงอย่างมหาศาล

  • เพิ่มความเร็ว : กระบวนการประกอบจะเร็วขึ้นถึง 40% และผลิตรถยนต์ได้เร็วขึ้น 15%
  • ลดความซับซ้อน : จำนวนชิ้นส่วนที่จำเป็นลดลง 20% และจุดยึดลดลงเกือบ 30% สายไฟในรถกระบะรุ่นใหม่จะสั้นลงกว่า 1.2 กิโลเมตร และเบาลง 10 กิโลกรัม
  • ลดพื้นที่การทำงาน : จำนวนสถานีงาน (workstations) จะลดลงถึง 40%
  • ปรับปรุงสวัสดิภาพพนักงาน : ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วยให้พนักงานทำงานสะดวกขึ้น ลดการบาดเจ็บจากการทำงานในพื้นที่จำกัด

รถยนต์รุ่นแรกที่จะผลิตภายใต้แพลตฟอร์มและกระบวนการใหม่นี้ คือ รถกระบะไฟฟ้าขนาดกลาง ที่ตั้งเป้าเปิดตัวในปี 2027 ด้วยราคาที่จับต้องได้ประมาณ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 975,000 บาท)

CREDIT : Ford

โดยจะใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ที่ไม่มีโคบอลต์และนิกเกิลเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมีข้อดีทั้งเรื่องลดต้นทุนและยังได้เรื่องความยั่งยืนด้วย

CREDIT : Ford

แม้ซีอีโอ จิม ฟาร์ลีย์ จะยอมรับว่าโครงการนี้คือ "การเดิมพันครั้งใหญ่" และมีความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นก้าวที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อความอยู่รอดของบริษัทในยุคยานยนต์ไฟฟ้า

อย่างไรแฟนๆ Ford ก็คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ สามารถตัดสินอนาคตของ Ford ในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเลยก็ว่าได้

ที่มา : ArenaEVFord

related