
SHORT CUT
วิกฤตน้ำท่วมใต้ หนักกว่าที่คิด GISTDA เผยภาพดาวเทียมน้ำท่วมกินพื้นที่ 7 จังหวัดกว่า 3 แสนไร่ ด้าน SWOC ชี้ ‘ฝน 300 ปี’ รุนแรงสุดที่เคยมีมา เตือนรับมือน้ำระลอกใหม่วันนี้
สถานการณ์อุทกภัยในจังหวัดสงขลาและพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างทวีความรุนแรงขึ้นจนน่ากังวล
ล่าสุดข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จากสองหน่วยงานหลักอย่าง GISTDA และ SWOC ได้ยืนยันตรงกันว่า "นี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติปกติ แต่เป็นเหตุการณ์ระดับ Extreme Weather ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด"
GISTDA เปิดภาพดาวเทียม น้ำท่วมขังวงกว้าง 3.3 แสนไร่ จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-1A เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำท่วม พบข้อมูลที่น่าตกใจดังนี้
พื้นที่น้ำท่วมขังรวมสูงถึง 334,895 ไร่ ครอบคลุมบางส่วนของ 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา, ปัตตานี, พัทลุง, นครศรีธรรมราช, นราธิวาส, ยะลา และสตูล ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 635,000 ราย และสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานจนระบบเมืองแทบเป็นอัมพาต
ภาพถ่ายดาวเทียมชี้ให้เห็นว่ามวลน้ำไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในลำน้ำสายหลัก แต่ได้แผ่ขยายวงกว้างเข้าท่วมพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยและทะเลสาบสงขลา
“ฝนตกหนักในรอบ 300 ปี” ที่กรมชลประทานระบุ ไม่ได้หมายถึงการย้อนดูบันทึกประวัติศาสตร์เมื่อ 3 ศตวรรษก่อน แต่เป็นศัพท์ทางเทคนิคด้าน “สถิติอุทกวิทยา” ที่เรียกว่า Return Period (คาบอุบัติซ้ำ)
ปริมาณฝนระดับนี้มีโอกาสเกิดขึ้นยากมาก เพียง 1 ใน 300 หรือคิดเป็นความน่าจะเป็นเพียง 0.33% ในแต่ละปี
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 68 วัดปริมาณฝนได้สูงถึง 335 มม. และสะสม 3 วัน (19-21 พ.ย.) สูงถึง 630 มม. ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ฝนตกแบบสุดขั้ว (Extreme Rainfall) ที่รุนแรงกว่าค่าเฉลี่ยปกติหลายเท่าตัว
แม้จะเกิดฝน 300 ปีไปแล้ว ก็ไม่ได้แปลว่าอีก 299 ปีถึงจะเกิดใหม่ ด้วยสภาวะโลกรวน (Climate Change) ความถี่ของเหตุการณ์สุดขั้วนี้อาจเกิดขึ้นได้ทุกปี
เมื่อเจอ “ฝน 300 ปี” ตกใส่พื้นที่เมืองหาดใหญ่โดยตรง จึงเกิดภาวะ “Over Capacity” หรือเกินขีดความสามารถในการระบายน้ำทันที ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
กับดักภูมิศาสตร์ (แอ่งกะทะ) : หาดใหญ่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ รับน้ำจากภูเขา 3 ด้าน (เขาคอหงส์, เทือกเขาบรรทัด, เทือกเขาสันกาลาคีรี) เมื่อฝนตกหนัก น้ำทั้งหมดจะไหลมารวมกันที่ “คลองอู่ตะเภา” เปรียบเสมือนเทน้ำลงก้นกะทะ
ปรากฏการณ์ลานีญาและมรสุม : อิทธิพลจากลานีญาเพิ่มความชื้น บวกกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง ทำให้เกิดฝนแช่ตกหนักต่อเนื่อง
โครงสร้างเมืองโตเกินระบบ : ระบบระบายน้ำเดิมถูกออกแบบมารับมือฝนรอบ 2-5 ปี หรือเขื่อนรับได้รอบ 100 ปี แต่เมื่อเจอปริมาณฝนระดับ 300 ปี จึง “ทะลุขีดจำกัด” การรองรับ
มวลน้ำที่เข้าท่วมสูงกว่าปี 2553 ในบางจุด ส่งผลกระทบรุนแรงในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น โรงกรองน้ำการประปาหาดใหญ่จมน้ำ 3 เมตร ต้องหยุดจ่ายน้ำ การรถไฟฯ ปิดสถานีชุมทางหาดใหญ่ ตัดขาดเส้นทางลงใต้
นักท่องเที่ยวกว่า 1,000 คน (ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซีย) ติดค้างในโรงแรม รถเล็กไม่สามารถสัญจรได้ ต้องใช้รถบรรทุกทหารลำเลียงอาหาร
โรงพยาบาลหาดใหญ่ถูกน้ำล้อมรอบ แม้ยังเปิดรับเคสฉุกเฉินได้ แต่ต้องวางแผนสำรองทรัพยากรอย่างรัดกุม
ล่าสุด สถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ เมื่อมวลน้ำจากอำเภอสะเดา (ต้นน้ำ) กำลังไหลบ่าลงสู่คลองอู่ตะเภา สมทบเข้าตัวเมืองหาดใหญ่ คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นอีก ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาได้สั่งการขั้นเด็ดขาด เร่งย้ายกลุ่มเปราะบางไปยังศูนย์พักพิง ม.อ. และ มรภ.สงขลา, นายกฯ สั่งจ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท โดยไม่ต้องรอผลสำรวจ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และกรมชลประทาน แจ้งเตือนระดับน้ำวิกฤตจากการตรวจวัดที่สถานีโทรมาตร ดังนี้
การวางผังเมืองและการจัดการน้ำในอนาคตของไทย จำเป็นต้องนำข้อมูลจาก GISTDA และสถิติใหม่จาก SWOC มาคำนวณใหม่ทั้งหมด เพื่อรับมือกับภัยพิบัติที่อาจไม่ใช่เรื่อง "บังเอิญ" อีกต่อไป